บลจ.ไทยพาณิชย์ ต่อยอดกองทุนตราสารหนี้ 6 เดือนรับดอกเบี้ยขาขึ้น ล่าสุด เข็นกองใหม่ ลงทุนพันธบัตรอิสราเอล พ่วงเงินฝากแบงก์ต่างชาติและบอนด์ไทย ให้ผลตอบแทน 2.80% ต่อปี ขายถึง 22 เม.ย.นี้
นางโชติกา สวนานนท์ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ไทยพาณิชย์ จำกัด เปิดเผย ถึงกลยุทธ์การลงทุนในตราสารหนี้ช่วงนี้ว่า จากแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในช่วงภาวะขาขึ้น บลจ.ไทยพาณิชย์จึงยังคงนโยบายออกกองทุนระยะสั้นที่ไม่เกิน 6 เดือนอย่างต่อเนื่อง และสามารถเสนออัตราผลตอบแทนสุทธิที่สูงกว่า โดยการจัดสินทรัพย์การลงทุนที่ผสมระหว่างพันธบัตรรัฐบาลและสถาบันการเงินทั้งในและต่างประเทศในสัดส่วนที่เหมาะสม
โดยบริษัทฯ ได้ออกกองทุนใหม่อีก 1 กองทุน คือกองทุนเปิดไทยพาณิชย์ตราสารหนี้ 6M14( SCB FIXED INCOME FUND 6M14) อายุ 6 เดือน มูลค่ากองทุน 3,000 ล้านบาท คาดผลตอบแทนประมาณ 2.80% ต่อปี มีนโยบายลงทุนในตราสารหนี้ต่างประเทศ สัดส่วน 79% ประกอบด้วย พันธบัตรรัฐบาลอิสราเอล โดยมีอันดับความน่าเชื่อถือจากฟิทช์เรทติ้งส์ อยู่ที่ F1 สัดส่วน 34% เงินฝากธนาคารบาร์เคลย์ สาขาฮ่องกง อยู่F1+ สัดส่วน 20% เงินฝากธนาคาร Bank of China อยู่ที่ F1 สัดส่วน 25% และ พันธบัตรรัฐบาลไทย สัดส่วน 21% พร้อมปิดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน (Hedging) เรียบร้อยแล้ว โดยเสนอขายตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 22 เมษายน 2554 ด้วยเงินลงทุนขั้นต่ำเพียง 10,000 บาท
"บลจ.ไทยพาณิชย์ มีความตั้งใจที่จะหาตราสารหนี้ที่ให้ผลตอบแทนที่ค่อนข้างสูง มีความมั่นคงและมีการจัดอันดับความน่าเชื่อถือสูง หรือเท่ากับ Investment Grade เพื่อเป็นทางเลือกให้กับผู้ลงทุนอย่างต่อเนื่อง โดยส่วนหนึ่งของเงินลงทุนยังได้เข้าไปลงทุนในเงินฝากของธนาคารจีนเป็นครั้งแรก เนื่องจากมีผลตอบแทนที่ดี และประเทศจีนมีเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งและศักยภาพในการเติบโตสูง"นางโชติกากล่าว
ด้านรายงานข่าวจากสมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย เปิดเผยถึงภาวะตลาดตราสารหนี้ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา (11 เมษายน - 12 เมษายน 2554) ว่า ในสัปดาห์นี้ เป็นช่วงของเทศกาลสงกรานต์ จึงทำให้มีวันทำการรวมเพียงแค่ 2 วันเท่านั้น ตลาดโดยรวมจึงค่อนข้างเงียบ และมูลค่าการซื้อขายที่เกิดขึ้นค่อนข้างน้อยเมื่อเทียบกับสัปดาห์ก่อนหน้า อย่างไรก็ตามนักลงทุนต่างชาติยังคงมียอดซื้อสุทธิในตลาดตราสารหนี้อีกกว่า 30,000 ล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่จะเน้นไปในตราสารระยะสั้น (มีอายุคงเหลือน้อยกว่า 1 ปี) เป็นหลัก
โดยบรรยากาศการลงทุนที่ค่อนข้างเงียบนี้มีผลทำให้เส้นอัตราผลตอบแทน (Yield Curve) ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นเล็กน้อย (ราคาตราสารหนี้ปรับตัวลดลงเล็กน้อย) เฉพาะในกลุ่มของตราสารที่มีอายุคงเหลือสั้นๆ ทางด้านของนักลงทุนรายย่อยที่ถึงแม้จะมีสัดส่วนของการซื้อขายตราสารหนี้ในตลาดค่อนข้างน้อย แต่ในสัปดาห์ที่ผ่านมายังคงมียอดซื้อสุทธิอย่างต่อเนื่องเช่นกัน ประมาณ 1,087 ล้านบาท
นางโชติกา สวนานนท์ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ไทยพาณิชย์ จำกัด เปิดเผย ถึงกลยุทธ์การลงทุนในตราสารหนี้ช่วงนี้ว่า จากแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในช่วงภาวะขาขึ้น บลจ.ไทยพาณิชย์จึงยังคงนโยบายออกกองทุนระยะสั้นที่ไม่เกิน 6 เดือนอย่างต่อเนื่อง และสามารถเสนออัตราผลตอบแทนสุทธิที่สูงกว่า โดยการจัดสินทรัพย์การลงทุนที่ผสมระหว่างพันธบัตรรัฐบาลและสถาบันการเงินทั้งในและต่างประเทศในสัดส่วนที่เหมาะสม
โดยบริษัทฯ ได้ออกกองทุนใหม่อีก 1 กองทุน คือกองทุนเปิดไทยพาณิชย์ตราสารหนี้ 6M14( SCB FIXED INCOME FUND 6M14) อายุ 6 เดือน มูลค่ากองทุน 3,000 ล้านบาท คาดผลตอบแทนประมาณ 2.80% ต่อปี มีนโยบายลงทุนในตราสารหนี้ต่างประเทศ สัดส่วน 79% ประกอบด้วย พันธบัตรรัฐบาลอิสราเอล โดยมีอันดับความน่าเชื่อถือจากฟิทช์เรทติ้งส์ อยู่ที่ F1 สัดส่วน 34% เงินฝากธนาคารบาร์เคลย์ สาขาฮ่องกง อยู่F1+ สัดส่วน 20% เงินฝากธนาคาร Bank of China อยู่ที่ F1 สัดส่วน 25% และ พันธบัตรรัฐบาลไทย สัดส่วน 21% พร้อมปิดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน (Hedging) เรียบร้อยแล้ว โดยเสนอขายตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 22 เมษายน 2554 ด้วยเงินลงทุนขั้นต่ำเพียง 10,000 บาท
"บลจ.ไทยพาณิชย์ มีความตั้งใจที่จะหาตราสารหนี้ที่ให้ผลตอบแทนที่ค่อนข้างสูง มีความมั่นคงและมีการจัดอันดับความน่าเชื่อถือสูง หรือเท่ากับ Investment Grade เพื่อเป็นทางเลือกให้กับผู้ลงทุนอย่างต่อเนื่อง โดยส่วนหนึ่งของเงินลงทุนยังได้เข้าไปลงทุนในเงินฝากของธนาคารจีนเป็นครั้งแรก เนื่องจากมีผลตอบแทนที่ดี และประเทศจีนมีเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งและศักยภาพในการเติบโตสูง"นางโชติกากล่าว
ด้านรายงานข่าวจากสมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย เปิดเผยถึงภาวะตลาดตราสารหนี้ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา (11 เมษายน - 12 เมษายน 2554) ว่า ในสัปดาห์นี้ เป็นช่วงของเทศกาลสงกรานต์ จึงทำให้มีวันทำการรวมเพียงแค่ 2 วันเท่านั้น ตลาดโดยรวมจึงค่อนข้างเงียบ และมูลค่าการซื้อขายที่เกิดขึ้นค่อนข้างน้อยเมื่อเทียบกับสัปดาห์ก่อนหน้า อย่างไรก็ตามนักลงทุนต่างชาติยังคงมียอดซื้อสุทธิในตลาดตราสารหนี้อีกกว่า 30,000 ล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่จะเน้นไปในตราสารระยะสั้น (มีอายุคงเหลือน้อยกว่า 1 ปี) เป็นหลัก
โดยบรรยากาศการลงทุนที่ค่อนข้างเงียบนี้มีผลทำให้เส้นอัตราผลตอบแทน (Yield Curve) ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นเล็กน้อย (ราคาตราสารหนี้ปรับตัวลดลงเล็กน้อย) เฉพาะในกลุ่มของตราสารที่มีอายุคงเหลือสั้นๆ ทางด้านของนักลงทุนรายย่อยที่ถึงแม้จะมีสัดส่วนของการซื้อขายตราสารหนี้ในตลาดค่อนข้างน้อย แต่ในสัปดาห์ที่ผ่านมายังคงมียอดซื้อสุทธิอย่างต่อเนื่องเช่นกัน ประมาณ 1,087 ล้านบาท