ฝ่ายวิจัยบลจ.กรุงไทย มองแนวโน้มตลาดหุ้นไทยยังแกว่งตัวผันผวนจากปัจจัยภายนอกบ้าง แต่มั่นใจผลประกอบการบริษัทจดทะเบียน พร้อมกับยังอยู่ในช่วงปลอดข่าวลบทางการเมืองหนุนให้ดัชนีตลาดหุ้นยังไปต่อได้ คาดเห็นกรอบดัชนีแกว่างตัวระหว่าง1,065-1,170 จุด กลยุทธ์รอจังหวะปรับฐานเข้าลงทุน
รายงานข่าวจากฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กรุงไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า แนวโน้มกาารลงทุนในเดือนสิงหาคมนี้เรามองว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยมีแนวโน้มแกว่งตัวผันผวนเพิ่มขึ้นโดยจะเห็นการปรับฐานระหว่างเดือนหลังดัชนีฯขึ้นมาแรงในเดือนที่ผ่านมาแต่ยังคงอยู่ในกรอบของแนวโน้มขาขึ้น เนื่องจากคาดว่าปัจจัยภายนอกจะคลี่คลายในทางบวกหลังสหรัฐฯมีการผ่านร่างกฎหมายการขยับเพดานหนี้สาธารณะได้ในต้นเดือนสิงหาคม แต่ยังคงต้องเกาะติดตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯอย่างใกล้ชิดต่อไปเนื่องจากมีทิศทางที่อ่อนแออยู่ รวมถึงปัญหาหนี้ยุโรปที่ยังไม่จบง่าย
ในขณะที่ปัจจัยภายในประเทศ ยังมีเวลาอีกประมาณ 1 เดือนที่จะอยู่ในช่วงปลอดข่าวลบทางการเมือง การลงทุนจึงให้น้ำหนักกับผลประกอบการที่จะประกาศออกมามากกว่า การลงทุนยังคงแนะนำหุ้นที่จะได้รับผลดีจากนโยบายภาครัฐเป็นหลัก รวมถึงที่หุ้นที่คาดว่าจะมีผลประกอบการดีในครึ่งปีหลัง โดยดัชนีฯมีกรอบการแกว่งตัวระหว่าง 1,065-1,170 จุด กลยุทธ์รอจังหวะปรับฐานเข้าลงทุน
ส่วนแนวโน้มการลงทุนในตราสารหนี้นั้น คาดว่ากระแสเงินลงทุนจากต่างประเทศจะยังคงเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ทั้งในตลาดตราสารหนี้และตลาดตราสารทุน โดยทิศทางของอัตราดอกเบี้ยจะยังคงอยู่ในช่วงขาขึ้นทำให้อัตราผลตอบแทนเส้นพันธบัตรรัฐบาลยังคงเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะตัวยาวๆ
นอกกจากนี้ยังมีมูลค่าการประมูลของพันธบัตรรัฐบาลใหม่ในเดือนสิงหาคมที่เพิ่มขึ้นถึง 46.7% MoM อยู่ที่ 44,000 ล้านบาท โดยกว่า 70% ของ supply ใหม่อยู่ในช่วงอายุ 4-6 ปี ซึ่งอาจจะกดดันทำให้เส้นอัตราพันธบัตรรัฐบาลช่วงอายุสั้นๆปรับขึ้นในอัตราที่เร็วขึ้น
รายงานข่าวระบุต่อว่า แม้ว่าสหรัฐฯจะขยายเพดานหนี้สาธารณะไปได้ แต่ก็เป็นไปตามที่นักวิเคาะห์แทบทั้งทั้งหมดคาดไว้ก่อนหน้านี้ อย่างไรก็ตามสหรัฐฯยังโดนถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือจาก S&P อีกทั้งตัวเลขเศรษฐกิจที่ประกาศล่าสุดหลายตัวส่งสัญญาณที่ไม่ดีหนักต่อแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ และสร้างความกังวลเกี่ยวกับการถอถอยอีกครั้งของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ส่วนปัญหาหนี้ยุโรปที่พัฒนาการไปในทางที่ดีขึ้น แต่ก็ยังต้องคอยติดตามแนวทางการดำเนินการต่อไป ซึ่งปัจจัยเสี่ยงต่อเศรษฐกิจโลกเหล่านี้ ยังน่าจะทำให้ราคาทองคำยังอยู่ในระดับสูงต่อไปได้
ขณะที่นายสานุพงศ์ สุทัศน์ธรรมกุล Fund SuperMart Analyst บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงเศรษฐกิจสหรัฐว่า สหรัฐฯจะยังคงเผชิญความยากลำบากในการฟื้นตัวต่อไป เป็นปัจจัยกดดันให้ทางการสหรัฐอาจต้องดำเนินการกระตุ้นเศรษฐกิจอีกครั้ง แต่ปัญหาใหญ่ก็คือ หากจะใช้การกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านนโยบายการคลัง รัฐบาลสหรัฐในตอนนี้ก็มีข้อจำกัดเกี่ยวกับการก่อหนี้เพิ่ม เนื่องจากระดับหนี้สาธารณะในปัจจุบันของสหรัฐสูงถึง 98.6% ของ GDP ขณะเดียวกันรัฐบาลยังถูกกดดันให้ปรับลดการขาดดุลการคลังลงอีก และหากจะใช้นโยบายการเงินผ่านการปรับลดอัตราดอกเบี้ยก็มีข้อจัดเช่นกัน เพราะอัตราดอกเบี้ยในปัจจุบันอยู่ต่ำมากอยู่แล้วคือที่ 0-0.25% ขณะที่การอัดฉีดเงินเข้าระบบเพื่อกระตุ้นการหมุนเงินโดยใช้นโยบายผ่อนคลายทางการเงินที่เรียกกันว่า Quantitative Easing หรือ QE แต่ที่ผ่านมาทั้ง QE1 และ QE2 ก็ดูจะไม่ได้ช่วยให้เกิดการจ้างงานเร็วเท่าที่ควร สำหรับเราแล้ว แม้เชื่อว่าสหรัฐจะฟื้นตัวได้ในที่สุด แต่สิ่งที่เป็นความเสี่ยงและเป็นปัจจัยกดดันก็คือ สหรัฐอาจจะต้องใช้เวลาในการฟื้นตัวสู่ระดับปกติมากกว่าที่คาดไว้
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ราคาทองคำในวันที่ 11 สิงหาคมที่ผ่านมาพุ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์ระหว่าง 1,814.50 - 1,815.50 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ซึ่งสาเหตุอาจจะมาจากนักลุงทุนกำลังหวั่นวิตกกับข่าวลือที่ว่าฝรั่งเศสอาจถูกลดความน่าเชื่อถือลง หลังจากที่สหรัฐฯ เพิ่งถูกหั่นเรตติ้งไปเมื่อปลายสัปดาห์ที่แล้ว ความเป็นไปได้ที่มหาอำนาจยูโรโซนอย่างฝรั่งเศสจะถูกลดเรตติ้งอันเนื่องมาจากปัญหาการเงินของธนาคารหลายแห่ง ทำให้หลายฝ่ายกังวลว่าวิกฤตหนี้สินในยูโรโซนอาจกำลังแผ่ลามไปถึงภูมิภาคอื่นๆ แล้ว
รายงานข่าวจากฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กรุงไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า แนวโน้มกาารลงทุนในเดือนสิงหาคมนี้เรามองว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยมีแนวโน้มแกว่งตัวผันผวนเพิ่มขึ้นโดยจะเห็นการปรับฐานระหว่างเดือนหลังดัชนีฯขึ้นมาแรงในเดือนที่ผ่านมาแต่ยังคงอยู่ในกรอบของแนวโน้มขาขึ้น เนื่องจากคาดว่าปัจจัยภายนอกจะคลี่คลายในทางบวกหลังสหรัฐฯมีการผ่านร่างกฎหมายการขยับเพดานหนี้สาธารณะได้ในต้นเดือนสิงหาคม แต่ยังคงต้องเกาะติดตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯอย่างใกล้ชิดต่อไปเนื่องจากมีทิศทางที่อ่อนแออยู่ รวมถึงปัญหาหนี้ยุโรปที่ยังไม่จบง่าย
ในขณะที่ปัจจัยภายในประเทศ ยังมีเวลาอีกประมาณ 1 เดือนที่จะอยู่ในช่วงปลอดข่าวลบทางการเมือง การลงทุนจึงให้น้ำหนักกับผลประกอบการที่จะประกาศออกมามากกว่า การลงทุนยังคงแนะนำหุ้นที่จะได้รับผลดีจากนโยบายภาครัฐเป็นหลัก รวมถึงที่หุ้นที่คาดว่าจะมีผลประกอบการดีในครึ่งปีหลัง โดยดัชนีฯมีกรอบการแกว่งตัวระหว่าง 1,065-1,170 จุด กลยุทธ์รอจังหวะปรับฐานเข้าลงทุน
ส่วนแนวโน้มการลงทุนในตราสารหนี้นั้น คาดว่ากระแสเงินลงทุนจากต่างประเทศจะยังคงเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ทั้งในตลาดตราสารหนี้และตลาดตราสารทุน โดยทิศทางของอัตราดอกเบี้ยจะยังคงอยู่ในช่วงขาขึ้นทำให้อัตราผลตอบแทนเส้นพันธบัตรรัฐบาลยังคงเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะตัวยาวๆ
นอกกจากนี้ยังมีมูลค่าการประมูลของพันธบัตรรัฐบาลใหม่ในเดือนสิงหาคมที่เพิ่มขึ้นถึง 46.7% MoM อยู่ที่ 44,000 ล้านบาท โดยกว่า 70% ของ supply ใหม่อยู่ในช่วงอายุ 4-6 ปี ซึ่งอาจจะกดดันทำให้เส้นอัตราพันธบัตรรัฐบาลช่วงอายุสั้นๆปรับขึ้นในอัตราที่เร็วขึ้น
รายงานข่าวระบุต่อว่า แม้ว่าสหรัฐฯจะขยายเพดานหนี้สาธารณะไปได้ แต่ก็เป็นไปตามที่นักวิเคาะห์แทบทั้งทั้งหมดคาดไว้ก่อนหน้านี้ อย่างไรก็ตามสหรัฐฯยังโดนถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือจาก S&P อีกทั้งตัวเลขเศรษฐกิจที่ประกาศล่าสุดหลายตัวส่งสัญญาณที่ไม่ดีหนักต่อแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ และสร้างความกังวลเกี่ยวกับการถอถอยอีกครั้งของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ส่วนปัญหาหนี้ยุโรปที่พัฒนาการไปในทางที่ดีขึ้น แต่ก็ยังต้องคอยติดตามแนวทางการดำเนินการต่อไป ซึ่งปัจจัยเสี่ยงต่อเศรษฐกิจโลกเหล่านี้ ยังน่าจะทำให้ราคาทองคำยังอยู่ในระดับสูงต่อไปได้
ขณะที่นายสานุพงศ์ สุทัศน์ธรรมกุล Fund SuperMart Analyst บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงเศรษฐกิจสหรัฐว่า สหรัฐฯจะยังคงเผชิญความยากลำบากในการฟื้นตัวต่อไป เป็นปัจจัยกดดันให้ทางการสหรัฐอาจต้องดำเนินการกระตุ้นเศรษฐกิจอีกครั้ง แต่ปัญหาใหญ่ก็คือ หากจะใช้การกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านนโยบายการคลัง รัฐบาลสหรัฐในตอนนี้ก็มีข้อจำกัดเกี่ยวกับการก่อหนี้เพิ่ม เนื่องจากระดับหนี้สาธารณะในปัจจุบันของสหรัฐสูงถึง 98.6% ของ GDP ขณะเดียวกันรัฐบาลยังถูกกดดันให้ปรับลดการขาดดุลการคลังลงอีก และหากจะใช้นโยบายการเงินผ่านการปรับลดอัตราดอกเบี้ยก็มีข้อจัดเช่นกัน เพราะอัตราดอกเบี้ยในปัจจุบันอยู่ต่ำมากอยู่แล้วคือที่ 0-0.25% ขณะที่การอัดฉีดเงินเข้าระบบเพื่อกระตุ้นการหมุนเงินโดยใช้นโยบายผ่อนคลายทางการเงินที่เรียกกันว่า Quantitative Easing หรือ QE แต่ที่ผ่านมาทั้ง QE1 และ QE2 ก็ดูจะไม่ได้ช่วยให้เกิดการจ้างงานเร็วเท่าที่ควร สำหรับเราแล้ว แม้เชื่อว่าสหรัฐจะฟื้นตัวได้ในที่สุด แต่สิ่งที่เป็นความเสี่ยงและเป็นปัจจัยกดดันก็คือ สหรัฐอาจจะต้องใช้เวลาในการฟื้นตัวสู่ระดับปกติมากกว่าที่คาดไว้
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ราคาทองคำในวันที่ 11 สิงหาคมที่ผ่านมาพุ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์ระหว่าง 1,814.50 - 1,815.50 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ซึ่งสาเหตุอาจจะมาจากนักลุงทุนกำลังหวั่นวิตกกับข่าวลือที่ว่าฝรั่งเศสอาจถูกลดความน่าเชื่อถือลง หลังจากที่สหรัฐฯ เพิ่งถูกหั่นเรตติ้งไปเมื่อปลายสัปดาห์ที่แล้ว ความเป็นไปได้ที่มหาอำนาจยูโรโซนอย่างฝรั่งเศสจะถูกลดเรตติ้งอันเนื่องมาจากปัญหาการเงินของธนาคารหลายแห่ง ทำให้หลายฝ่ายกังวลว่าวิกฤตหนี้สินในยูโรโซนอาจกำลังแผ่ลามไปถึงภูมิภาคอื่นๆ แล้ว