ASTVผู้จัดการรายวัน - บลจ.ยูโอบี คาด อัตราเงินเฟ้อจีนจะปรับตัวลงในครึ่งปีหลัง และจีนอาจระงับการขึ้นดอกเบี้ย แต่ยังมีความกังวลเรื่องหนี้ของรัฐบาลท้องถิ่น ขณะที่ GDP ของจีนในปีนี้อาจแตะระดับ 9% จากการบริโภคและการลงทุนของภาครัฐ
บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ยูโอบี จำกัด รายงาน รายงานภาวะเศรษฐกิจ จีนและอินเดียล่าสุดว่า ภาวะเงินเฟ้อในปัจจุบันของจีนกำลังใกล้ถึงจุดพลิกผัน และอาจปรับตัวลดลงในครึ่งปีหลัง จากสถิติข้อมูลในอดีต อัตราเงินเฟ้อในครึ่งปีหลังมักจะต่ำกว่าช่วงครึ่งปีแรก และจากสถิติในอดีตในช่วงระหว่างปี 2003-2004 ทิศทางขาขึ้นของราคาสินค้าจีนได้เกิดขึ้นนาน 27 เดือน และได้มีการปรับตัวลดลงในเวลาต่อมา การพุ่งขึ้นของราคาสินค้าที่ได้เกิดขึ้นนาน 24 เดือนในระหว่างปี 2007-2008 ซึ่งปัจจุบันที่ผ่านมาวัฏจักรการเพิ่มขึ้นของราคาได้เกิดขึ้นมานานถึง 24 เดือนแล้วและอาจถึงจุดพลิกผันได้
นอกจากนี้ นักเศรษฐศาสตร์ของจีนยังคงให้มุมมองที่สอดคล้องกันและได้คาดการณ์ว่าจีนอาจระงับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในขณะที่เงินเฟ้อจะชะลอตัวลง โดยประเด็นที่นักเศรษฐศาสตร์เป็นห่วงมากกว่าคือ การดึงดูดเม็ดเงินร้อนจากต่างประเทศ รวมถึงการเพิ่มภาระหนี้สินต่อรัฐบาลท้องถิ่น
ขณะที่ดัชนีผลสำรวจผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ประจำเดือนกรกฎาคม ร่วงลงสู่ระดับ 48.9 ภายในเดือนกรกฎาคมซึ่งต่ำกว่าระดับ 50 ซึ่งถือเป็นการลงหนักที่สุดนับตั้งแต่ มีนาคม 2009 และบ่งชี้ว่าภาคการผลิตชะลอตัวลงเป็นครั้งแรกในรอบ 12 เดือน ซึ่ง การชะลอตัวของภาคการผลิตของจีน นั้นเป็นผลมาจากการคุมเข้มนโยบาย และอุปสงค์มวลรวมของโลกที่ชะลอตัวลง ซึ่งส่งผลกระทบต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจของจีน
โดยดัชนี PMI ที่อยู่เหนือระดับ 50 บ่งชี้ถึงภาวะขยายตัว ในขณะที่ถ้าต่ำกว่าระดับ 50 บ่งชี้ถึงการชะลอ โดยดัชนี PMI ในเดือน มิถุนายน นั้นอยู่ที่ 50.1 นอกจากนี้ นักวิเคราะห์ของจีน ได้คาดการณ์ว่าภาคอุตสาหกรรมจะชะลอตัวลงในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ขณะที่มาตรการคุมเข้มยังคงส่งผลกระทบ แต่การฟื้นตัวของการใช้จ่ายของผู้บริโภค และการลงทุนต่อเนื่องในโครงการสาธารณูปโภคพื้นฐานจำนวนมหาศาล จะหนุนให้ GDP เพิ่มขึ้นได้เกือบร้อยละ 9 ในปีนี้
ด้านเศรษฐกิจอินเดีย นั้นรัฐบาลอินเดียไม่มีแนวโน้มที่จะเสี่ยงต่อการปรับขึ้นหรือเปิดเสรีราคาน้ำมันดีเซลอีกครั้งในปีนี้ โดยก่อนหน้านี้ รัฐบาลอินเดียได้ปรับเพิ่มราคาดีเซลราวร้อยละ 9 ในช่วงสิ้นเดือนมิถุนายน เป็นครั้งแรกในรอบ 1 ปี ซึ่งต่ำกว่าอย่างมาก จากการปรับขึ้นของราคาน้ำมันในตลาดโลกประมาณร้อยละ 36 ซึ่งทำให้ผู้ค้าปลีกประสบปัญหาขาดทุนอย่างมากจากการขายราคาที่ต่ำกว่าราคาต้นทุนอีกสาเหตุที่รัฐบาลอินเดียมีความจำเป็นน้อยลงในการปรับลดค่าใช้จ่ายของรัฐบาล คือปัญหาเงินเฟ้อสูงภายในประเทศอินเดีย ซึ่งรัฐบาลอินเดียจะพยายามรักษาคะแนนเสียง เพื่อรับมือการเลือกตั้งทั่วไปในประเทศในปีหน้า
บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ยูโอบี จำกัด รายงาน รายงานภาวะเศรษฐกิจ จีนและอินเดียล่าสุดว่า ภาวะเงินเฟ้อในปัจจุบันของจีนกำลังใกล้ถึงจุดพลิกผัน และอาจปรับตัวลดลงในครึ่งปีหลัง จากสถิติข้อมูลในอดีต อัตราเงินเฟ้อในครึ่งปีหลังมักจะต่ำกว่าช่วงครึ่งปีแรก และจากสถิติในอดีตในช่วงระหว่างปี 2003-2004 ทิศทางขาขึ้นของราคาสินค้าจีนได้เกิดขึ้นนาน 27 เดือน และได้มีการปรับตัวลดลงในเวลาต่อมา การพุ่งขึ้นของราคาสินค้าที่ได้เกิดขึ้นนาน 24 เดือนในระหว่างปี 2007-2008 ซึ่งปัจจุบันที่ผ่านมาวัฏจักรการเพิ่มขึ้นของราคาได้เกิดขึ้นมานานถึง 24 เดือนแล้วและอาจถึงจุดพลิกผันได้
นอกจากนี้ นักเศรษฐศาสตร์ของจีนยังคงให้มุมมองที่สอดคล้องกันและได้คาดการณ์ว่าจีนอาจระงับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในขณะที่เงินเฟ้อจะชะลอตัวลง โดยประเด็นที่นักเศรษฐศาสตร์เป็นห่วงมากกว่าคือ การดึงดูดเม็ดเงินร้อนจากต่างประเทศ รวมถึงการเพิ่มภาระหนี้สินต่อรัฐบาลท้องถิ่น
ขณะที่ดัชนีผลสำรวจผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ประจำเดือนกรกฎาคม ร่วงลงสู่ระดับ 48.9 ภายในเดือนกรกฎาคมซึ่งต่ำกว่าระดับ 50 ซึ่งถือเป็นการลงหนักที่สุดนับตั้งแต่ มีนาคม 2009 และบ่งชี้ว่าภาคการผลิตชะลอตัวลงเป็นครั้งแรกในรอบ 12 เดือน ซึ่ง การชะลอตัวของภาคการผลิตของจีน นั้นเป็นผลมาจากการคุมเข้มนโยบาย และอุปสงค์มวลรวมของโลกที่ชะลอตัวลง ซึ่งส่งผลกระทบต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจของจีน
โดยดัชนี PMI ที่อยู่เหนือระดับ 50 บ่งชี้ถึงภาวะขยายตัว ในขณะที่ถ้าต่ำกว่าระดับ 50 บ่งชี้ถึงการชะลอ โดยดัชนี PMI ในเดือน มิถุนายน นั้นอยู่ที่ 50.1 นอกจากนี้ นักวิเคราะห์ของจีน ได้คาดการณ์ว่าภาคอุตสาหกรรมจะชะลอตัวลงในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ขณะที่มาตรการคุมเข้มยังคงส่งผลกระทบ แต่การฟื้นตัวของการใช้จ่ายของผู้บริโภค และการลงทุนต่อเนื่องในโครงการสาธารณูปโภคพื้นฐานจำนวนมหาศาล จะหนุนให้ GDP เพิ่มขึ้นได้เกือบร้อยละ 9 ในปีนี้
ด้านเศรษฐกิจอินเดีย นั้นรัฐบาลอินเดียไม่มีแนวโน้มที่จะเสี่ยงต่อการปรับขึ้นหรือเปิดเสรีราคาน้ำมันดีเซลอีกครั้งในปีนี้ โดยก่อนหน้านี้ รัฐบาลอินเดียได้ปรับเพิ่มราคาดีเซลราวร้อยละ 9 ในช่วงสิ้นเดือนมิถุนายน เป็นครั้งแรกในรอบ 1 ปี ซึ่งต่ำกว่าอย่างมาก จากการปรับขึ้นของราคาน้ำมันในตลาดโลกประมาณร้อยละ 36 ซึ่งทำให้ผู้ค้าปลีกประสบปัญหาขาดทุนอย่างมากจากการขายราคาที่ต่ำกว่าราคาต้นทุนอีกสาเหตุที่รัฐบาลอินเดียมีความจำเป็นน้อยลงในการปรับลดค่าใช้จ่ายของรัฐบาล คือปัญหาเงินเฟ้อสูงภายในประเทศอินเดีย ซึ่งรัฐบาลอินเดียจะพยายามรักษาคะแนนเสียง เพื่อรับมือการเลือกตั้งทั่วไปในประเทศในปีหน้า