ไทยสมุทรประกันชีวิต เดินหน้าปรับพอร์ตรับดอกเบี้ยขาขึ้น เน้นเพิ่มการลงทุนหุ้นกู้เอกชนมากขึ้น ส่วนพอร์ตหุ้นยังไม่ปรับ แต่มั่นใจทั้งปีผลตอบแทนหุ้นไทยยังสูงถึง 10-15%ได้ พร้อมยันเน้นการลงทุนที่สอดคล้องกับสินค้า และความเสี่ยงต่ำ เพื่อให้สอดคล้องกับเกณฑ์ RBC ของคปภ.เป็นหลัก
นางสุวรรณ อุดมเฉลิมเดช ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส ฝ่ายบริหารเงินและเงินลงทุนระยะยาว บริษัทไทยสมุทรประกันชีวิต จำกัด เปิดเผยว่า ผลตอบแทนจากการลงทุนโดยรวมช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ บริษัทสามารถสร้างผลตอบแทนได้สูงถึง 6.7% ซึ่งสูงกว่าป้าหมายทั้งปีที่บริษัทได้ตั้งไว้ที่ระดับ 6.2% โดยผลตอบแทนดังกล่าวที่เติบโตดีส่วนใหญ่มาจากพอร์ตการลงทุนในตราสารทุนและจากอัตราดอกเบี้ยที่มีการปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่องเป็นหลัก ส่วนทั้งปีคาดว่าผลตอบแทนจากการลงทุนจะแตะที่ระดับ 6.6%
ทั้งนี้ สัดส่วนการลงทุนของบริษัทในปัจจุบันแบ่งออกเป็น พอร์ตลงทุนในตราสารทุนประมาณ 3% ตราสารหนี้ประมาณ 40-50% หุ้นกู้ประมาณ 12.5% สินเชื่อที่อยู่อาศัยประมาณ 15% และสินเชื่อเช่าซื้อประมาณ 3%
อย่างไรก็ตาม หลังจากนี้บริษัทมีแผนที่จะปรับสัดส่วนการลงทุนในหุ้นกู้ปีนี้เพิ่มขึ้นจากเดิมที่มีอยู่ประมาณ 12.5% เนื่องจากมองว่าผลตอบแทนที่ได้จะดีกว่าการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลอย่างเดียว
"เรามองว่าหากบริษัทพบว่าองค์กรขนาดใหญ่ที่มีศักยภาพดีมีการออกหุ้นกู้ บริษัทก็จะหาจังหวะเข้าไปลงทุนในหุ้นกู้ดังกล่าวเหล่านี้เพิ่มแน่นอน เพราะเชื่อว่าผลตอบแทนที่ได้จากการลงทุนดังกล่าวเมื่อเทียบกับการลงทุนในตราสารหนี้ภาครัฐอย่างเดียวจะน้อยเกินไป แต่อย่างไรก็ตามถึงแม้ช่วงที่ผ่านมาจะมีหุ้นกู้ออกมาจำนวนมาก แต่ยังไม่เพียงต่อความต้องการอยู่ดี โดยเฉพาะในส่วนของหุ้นกู้ที่บริษัทประกันชีวิตสามารถลงทุนได้"นางสุวรรณกล่าว
นางสุวรรณ กล่าวอีกว่า ในช่วงขาขึ้นของอัตราดอกเบี้ย ส่งผลให้ผลตอบแทนจากพอร์ตการลงทุนประเภทสินเชื่อของบริษัทนั้นเติบโตค่อนข้างดีมาก ไม่ว่าจะเป็นสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์และสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ ล่าสุด ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มีการประกาศปรับอัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นอีก 0.25% ส่งผลให้ดอกเบี้ยนโยบายปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 3.25% ทั้งนี้ ยอมรับว่าโอกาสที่อัตราดอกเบี้ยในช่วงเดือนที่เหลือของปีมีแนวโน้มขาขึ้น ซึ่งเป็นผลดีต่อการปล่อยสินเชื่อของบริษัท
ดังนั้น สำหรับสัดส่วนการลงทุนในส่วนของการปล่อยสินเชื่อต่างๆของบริษัท มีแนวโน้มที่จะปรับตัวเพิ่มขึ้นจากปัจจุบันที่มีอยู่เช่นเดียวกัน เนื่องจากช่องว่างในการเข้าลงทุนดังกล่าวของบริษัทมีค่อนข้างมาก อย่างไรก็ตาม การเข้าลงทุนประเภทนี้ บริษัทเน้นปล่อยสินเชื่อที่มีคุณภาพเป็นหลัก และเป็นไปตามเกณฑ์ของคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ในการปล่อยสินเชื่อ
ส่วนทิศทางการลงทุนในตราสารทุน บริษัทยืนยันว่าไม่มีการปรับสัดส่วนดังกล่าวเพิ่มขึ้นแต่อย่างไร แม้ว่าบริษัทสามารถเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในส่วนนี้ได้ก็ตาม แต่เพื่อเป็นการลดความเสี่ยงในการลงทุน บริษัทจึงเน้นการลงทุนในส่วนที่ให้ผลตอบแทนดีและมีความเสี่ยงต่ำเป็นหลัก ทั้งนี้ บริษัทคาดว่าผลตอบแทนจากการลงทุนในตราสารทุนปีนี้น่าจะแตะที่ระดับ 10-15% โดยในช่วงต้นปีที่ผ่านมาผลตอบแทนที่ได้จะส่วนนี้ถือว่าอยู่ในระดับที่ดี เนื่องจากได้รับอานิสงส์จากหุ้นปันผลในช่วงทีผ่านมา
อย่างไรก็ตามการลงทุนของบริษัทจำเป็นต้องคำนึงถึง เกณฑ์การดำรงเงินกองทุนตามความเสี่ยง (Risk-Based Capital : RBC) ของ คปภ.ที่จะประกาศใช้อย่างเป็นทางการในวันที่1 กันยายน 2554 นี้ โดยสินค้าและการลงทุนที่ออกมาจะต้องสอดคล้องกับการดำรงเงินกองทุนตามเกณฑ์นี้ด้วยเช่นกัน
นางสุวรรณ อุดมเฉลิมเดช ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส ฝ่ายบริหารเงินและเงินลงทุนระยะยาว บริษัทไทยสมุทรประกันชีวิต จำกัด เปิดเผยว่า ผลตอบแทนจากการลงทุนโดยรวมช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ บริษัทสามารถสร้างผลตอบแทนได้สูงถึง 6.7% ซึ่งสูงกว่าป้าหมายทั้งปีที่บริษัทได้ตั้งไว้ที่ระดับ 6.2% โดยผลตอบแทนดังกล่าวที่เติบโตดีส่วนใหญ่มาจากพอร์ตการลงทุนในตราสารทุนและจากอัตราดอกเบี้ยที่มีการปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่องเป็นหลัก ส่วนทั้งปีคาดว่าผลตอบแทนจากการลงทุนจะแตะที่ระดับ 6.6%
ทั้งนี้ สัดส่วนการลงทุนของบริษัทในปัจจุบันแบ่งออกเป็น พอร์ตลงทุนในตราสารทุนประมาณ 3% ตราสารหนี้ประมาณ 40-50% หุ้นกู้ประมาณ 12.5% สินเชื่อที่อยู่อาศัยประมาณ 15% และสินเชื่อเช่าซื้อประมาณ 3%
อย่างไรก็ตาม หลังจากนี้บริษัทมีแผนที่จะปรับสัดส่วนการลงทุนในหุ้นกู้ปีนี้เพิ่มขึ้นจากเดิมที่มีอยู่ประมาณ 12.5% เนื่องจากมองว่าผลตอบแทนที่ได้จะดีกว่าการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลอย่างเดียว
"เรามองว่าหากบริษัทพบว่าองค์กรขนาดใหญ่ที่มีศักยภาพดีมีการออกหุ้นกู้ บริษัทก็จะหาจังหวะเข้าไปลงทุนในหุ้นกู้ดังกล่าวเหล่านี้เพิ่มแน่นอน เพราะเชื่อว่าผลตอบแทนที่ได้จากการลงทุนดังกล่าวเมื่อเทียบกับการลงทุนในตราสารหนี้ภาครัฐอย่างเดียวจะน้อยเกินไป แต่อย่างไรก็ตามถึงแม้ช่วงที่ผ่านมาจะมีหุ้นกู้ออกมาจำนวนมาก แต่ยังไม่เพียงต่อความต้องการอยู่ดี โดยเฉพาะในส่วนของหุ้นกู้ที่บริษัทประกันชีวิตสามารถลงทุนได้"นางสุวรรณกล่าว
นางสุวรรณ กล่าวอีกว่า ในช่วงขาขึ้นของอัตราดอกเบี้ย ส่งผลให้ผลตอบแทนจากพอร์ตการลงทุนประเภทสินเชื่อของบริษัทนั้นเติบโตค่อนข้างดีมาก ไม่ว่าจะเป็นสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์และสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ ล่าสุด ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มีการประกาศปรับอัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นอีก 0.25% ส่งผลให้ดอกเบี้ยนโยบายปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 3.25% ทั้งนี้ ยอมรับว่าโอกาสที่อัตราดอกเบี้ยในช่วงเดือนที่เหลือของปีมีแนวโน้มขาขึ้น ซึ่งเป็นผลดีต่อการปล่อยสินเชื่อของบริษัท
ดังนั้น สำหรับสัดส่วนการลงทุนในส่วนของการปล่อยสินเชื่อต่างๆของบริษัท มีแนวโน้มที่จะปรับตัวเพิ่มขึ้นจากปัจจุบันที่มีอยู่เช่นเดียวกัน เนื่องจากช่องว่างในการเข้าลงทุนดังกล่าวของบริษัทมีค่อนข้างมาก อย่างไรก็ตาม การเข้าลงทุนประเภทนี้ บริษัทเน้นปล่อยสินเชื่อที่มีคุณภาพเป็นหลัก และเป็นไปตามเกณฑ์ของคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ในการปล่อยสินเชื่อ
ส่วนทิศทางการลงทุนในตราสารทุน บริษัทยืนยันว่าไม่มีการปรับสัดส่วนดังกล่าวเพิ่มขึ้นแต่อย่างไร แม้ว่าบริษัทสามารถเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในส่วนนี้ได้ก็ตาม แต่เพื่อเป็นการลดความเสี่ยงในการลงทุน บริษัทจึงเน้นการลงทุนในส่วนที่ให้ผลตอบแทนดีและมีความเสี่ยงต่ำเป็นหลัก ทั้งนี้ บริษัทคาดว่าผลตอบแทนจากการลงทุนในตราสารทุนปีนี้น่าจะแตะที่ระดับ 10-15% โดยในช่วงต้นปีที่ผ่านมาผลตอบแทนที่ได้จะส่วนนี้ถือว่าอยู่ในระดับที่ดี เนื่องจากได้รับอานิสงส์จากหุ้นปันผลในช่วงทีผ่านมา
อย่างไรก็ตามการลงทุนของบริษัทจำเป็นต้องคำนึงถึง เกณฑ์การดำรงเงินกองทุนตามความเสี่ยง (Risk-Based Capital : RBC) ของ คปภ.ที่จะประกาศใช้อย่างเป็นทางการในวันที่1 กันยายน 2554 นี้ โดยสินค้าและการลงทุนที่ออกมาจะต้องสอดคล้องกับการดำรงเงินกองทุนตามเกณฑ์นี้ด้วยเช่นกัน