xs
xsm
sm
md
lg

กูรูแนะเก็บทองคำใส่พอร์ต เหตุสินทรัพย์เสี่ยงยังผันผวน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


นักวิเคราะห์กองทุนรวมประเมินภาพรวมของสินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลกยังผันผวน หลังQE2 ของสหรัฐฯจะหมดสิ้นเดือนนี้ ขณะที่ปัญหาหนี้เสียยุโรปยังเผชิญความยากลำบาก ล่าสุดแนะนำนักลงทุนเก็บกองทุนทองคำเข้าพอร์ตหนีสินทรัพย์เสี่ยงผันผวน

นายสานุพงศ์ สุทัศน์ธรรมกุล Fund SuperMart Analyst บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ภาพการลงทุนในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา สิ่งที่สร้างความประหลาดใจให้กับนักลงทุนอย่างที่สุดคงหนีไม่พ้นการดิ่งลงอย่างแรงและเร็วของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ โดยเฉพาะราคาน้ำมันในตลาดโลก อย่างไรก็ตามเราได้เคยเตือนไว้แล้วก่อนหน้าแล้วว่า การเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันในช่วงที่ผ่านมานั้นสูงเกินกว่าปัจจัยพื้นฐานรองรับ จึงอาจเป็นการเพิ่มขึ้นที่ไม่เเข็งเเรงนักเเละอาจเห็นการดิ่งลงของราคาได้ทุกเมื่อ เนื่องจากเป็นการเพิ่มขึ้นดังกล่าวมาจากปัจจัยทางจิตวิทยาและการเก็งกำไรเป็นหลัก ปัจจัยทางจิตวิทยาที่ว่านี้ก็คือ ความกังวลเกี่ยวกับอุปทานน้ำมันที่ลดลงจากลิเบียและความกังวลที่ว่าปัญหาอาจลุกลามไปยังประเทศส่งออกน้ำมันรายใหญ่อย่างซาอุดิอาระเบียและอิหร่าน ซึ่งเรามองว่าเป็นความกังวลที่ดูจะเกินกว่าเหตุ เนื่องจากลิเบียไม่ใช่ผู้ส่งออกรายใหญ่ของกลุ่ม OPEC

ขณะที่ผู้ส่งออกรายใหญ่ที่แท้จริงอย่างซาอุดิอาระเบียและอิหร่านยังคงมีกำลังการผลิตส่วนเกินเหลืออยู่ประกอบกับสถานการณ์ในตะวันออกกลางที่ปะทุขึ้นมาเกือบครึ่งปีก็ไม่ได้ขยายวงกว้างไปสู่ประเทศผู้ส่งออกน้ำมันรายสำคัญอื่นๆอย่างที่ได้กังวลไว้แต่แรก ตลาดจึงเริ่มกลับมามองถึงปัจจัยที่แท้จริงมากขึ้นเมื่อเริ่มเห็นการปรับประมาณการเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นหรือแม้แต่การปรับลด GDPGrowth จากผลกระทบของราคาน้ำมันในหลายๆประเทศและจากสำนักวิจัยหลายแห่ง

ในขณะนี้ราคาน้ำมันจะกลับลงมาซื้อขายต่ำกว่า 100 US$/bbl และเริ่มมีนักลงทุนกลับมาให้ความสนใจมากขึ้น แต่เราก็ยังคงคำแนะนำเช่นเดิม คือ ให้หลีกเลี่ยงการลงทุนในกองทุนน้ำมันในช่วงนี้ไปก่อน สาเหตุหลักก็เพราะกองทุนหลัก PowerShares DB Oil fund กำลังจะทำการ Rollover สัญญาซื้อขายล่วงหน้าตัวปัจจุบันคือสัญญาส่งมอบเดือนกค.54 ไปถือสัญญาตัวใหม่ที่มีอายุยาวขึ้น ซึ่งการ Rollover นี้อาจทำให้เกิด Negative Roll Yield ที่จะทำให้ผลตอบแทนที่ได้รับจากการลงทุนในกองทุนน้ำมันไม่เป็นไปตามการเปลี่ยนแปลงราคาน้ำมันในตลาดโลก

ในส่วนของทองคำ เรายังคงแนะนำให้หาจังหวะเข้าสะสมหรือถือทองคำในพอร์ตลงทุนในช่วง 5-10% ตามระดับความเสี่ยงของนักลงทุน เพราะมองว่าทองคำจะยังคงได้รับแรงหนุนจากความไม่แน่นอนต่างๆในตลาดโลกในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย อย่างไรก็ดี ยิ่งใกล้หมด QE2 ของสหรัฐในช่วงสิ้นเดือนมิย.54 ตลาดทั่วโลกดูจะผันผวนมากขึ้น ดังนั้น การเข้าลงทุนในช่วงนี้นักลงทุนควรเพิ่มความระมัดระวังและติดตามตลาดอย่างใกล้ชิด กองทุนทองคำที่แนะนำเป็นกองทุนมีการป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนอย่าง K-GOLD ของบลจ.กสิกรไทย สำหรับกองทุนที่มีนโยบายจ่ายปันผล และ ASP-GOLD ของบลจ.Asset Plus เป็นทางเลือกสำหรับกองทุนที่ไม่จ่ายปันผล

สำหรับการลงทุนในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว จุดที่เราอยากจะเน้นก็คือ อยากให้นักลงทุนมีความเข้าใจในภูมิภาคนี้ก่อนที่จะตัดสินใจลงทุน ไม่อยากให้มองเพียงภาพกว้างๆว่าเศรษฐกิจในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วเริ่มมีการฟื้นตัวที่ดีขึ้นเป็นลำดับ เพราะแท้จริงแล้วภายในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วสามารถแบ่งได้เป็น 4 เขตเศรษฐกิจหลักๆ ซึ่งมีพื้นฐานและปัญหาทางเศรษฐกิจที่ค่อนข้างแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ ดังนั้น หากนักลงทุนต้องการลงทุนในกลุ่มนี้ จึงจำเป็นที่จะต้องเข้าใจว่ากองทุนที่สนใจอยู่กำลังลงทุนที่ไหน เพื่อที่จะได้เข้าใจถึงภาวะเศรษฐกิจ รวมทั้งการดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจของประเทศหรือภูมิภาคนั้นๆ เพราะปัจจัยดังกล่าวนอกจากจะเป็นแหล่งที่มาของอัตราผลตอบแทนแล้ว ขณะเดียวกันก็เป็นต้นตอของความผันผวนและความเสี่ยงที่เกี่ยวเนื่องกับการลงทุนได้ ทั้งนี้ เราสามารถแบ่งกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วออกได้เป็น สหรัฐ, ยุโรป, ญี่ปุ่น และประเทศพัฒนาแล้วที่อยู่ในโซนเอเชียแปซิฟิก

นายสานุพงศ์ กล่าวต่อว่า ภาพรวมเศรษฐกิจสหรัฐยังคงให้ภาพการฟื้นตัว แต่ก็เป็นการฟื้นตัวที่ยังไม่มากพอที่จะลดปัญหาการว่างงานในระดับสูงที่ราว9.0% ได้ ทำให้เรายังคงกังวลต่อความสามารถในการใช้จ่ายของผู้บริโภคซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญหรือราว 2 ใน 3 ของเศรษฐกิจสหรัฐ และที่เราต้องจับตาดูกันต่อไปก็คือประเด็นที่ว่า สหรัฐจะสามารถฟื้นตัวได้ด้วยตัวเองหรือไม่หากรัฐบาลซึ่งเริ่มได้รับคำเตือนเกี่ยวกับยอดขาดดุลการคลังเริ่มถอดถอนมาตรการสนับสนุนทั้งหลายออกไป รวมถึงมาตรการ QE2 ที่กำลังจะหมดอายุลงสิ้นเดือนมิย.54 นี้ ในแง่ของการลงทุน ที่ผ่านมาตลาดหุ้นสหรัฐยังคงปรับตัวในแนวโน้มขาขึ้นตามผลประกอบการของหลายๆบริษัทที่ออกมาดีและจากอานิสงค์ของการควบควมกิจการที่มีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น ในความเห็นของเรา ตลาดหุ้นสหรัฐมีความน่าสนใจอยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะบริษัทข้ามชาติที่จะได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวและเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งกว่าจากทางเอเชียและตลาดเกิดใหม่

อย่างไรก็ดีเราไม่คิดว่าการลงทุนในหุ้นสหรัฐจะให้ภาพที่หวือหวาเหมือนที่ตลาดหุ้นในเอเชียและตลาดเกิดใหม่ทำไว้ในช่วง 2 ปีก่อน เพราะภาพเศรษฐกิจและตลาดแรงงานที่ยังเปราะบางจะยังเป็นตัวกดดันผลประกอบการของบริษัทที่ประกอบธุรกิจในประเทศ ขณะที่ความพยามในการชะลอความร้อนแรงทางเศรษฐกิจของกลุ่มเอเชียและตลาดเกิดใหม่อาจกระทบต่อผลการดำเนินงานของบริษัทข้ามชาติของสหรัฐได้ ดังนั้น ตลาดหุ้นน่าจะปรับตัวในทิศทางขาขึ้นต่อไปได้แต่เป็นไปในลักษณะค่อยเป็นค่อยไป

ส่วนกลุ่ม Euro Zone ที่ประกอบด้วยสมาชิก 17 ประเทศ โดยภายใน Euro Zone นั้น ยังสามารถเเบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ที่เรียกได้ว่าแตกต่างกันแบบสุดขั้ว กล่าวคือ กลุ่มประเทศที่ฟื้นตัวจากวิกฤติได้แล้วกับอีกกลุ่มที่ประสบปัญหาหนี้ มีปัญหาเกี่ยวกับภาวะการคลังและต้องดำเนินนโยบายรัดเข็มขัดอย่างเช่นกลุ่ม PIIGS ด้วยความแตกต่างดังกล่าว การที่ทุกประเทศในกลุ่มอยู่ภายใต้นโยบายการเงินแบบเดียวกันจึงไม่เหมาะสม

โดยเมื่อวันที่ 7 เมย.54 ที่ผ่านมา ธนาคารกลางยุโรปหรือ European Central Bank (ECB) ได้ประกาศปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเป็นครั้งแรกในรอบ 2 ปี โดยปรับขึ้นอีก 0.25% มาอยู่ที่ 1.25% เพื่อลดแรงกดดันด้านเงินเฟ้อ แต่ ณ อัตราดอกเบี้ยระดับดังกล่าว ยังถือว่าต่ำไปสำหรับประเทศที่เติบโตได้ดีอย่างเยอรมัน, ออสเตรียและเนเธอแลนด์ แต่สูงไปสำหรับประเทศอย่างสเปน, ไอร์แลนด์และโปรตุเกส ซึ่งในท้ายที่สุดการดำเนินนโยบายเช่นนี้มีเเนวโน้มที่จะทำให้กลุ่มแรกมีความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อ

ขณะที่กลุ่มหลังจะเผชิญความยากลำบากในการฟื้นตัว ด้วยความที่ Euro Zone มีความปัญหาในเชิงโครงสร้าง ทั้งในแง่ของการดำเนินนโนบายร่วมกันและการแก้ปัญหาหนี้กลุ่มPIIGS จึงอาจทำให้เห็นความผันผวนของค่าเงินยูโร รวมถึงอาจมีแรงกดดันทางตวิทยาต่อตลาดหุ้นได้ไม่น้อย ดังนั้น ภูมิภาคนี้จึงอาจไม่เหมาะกับนักลงทุนที่ไม่ชอบความเสี่ยงและไม่สามารถทนความผันผวนระยะสั้นได้
กำลังโหลดความคิดเห็น