ASTVผู้จัดการายวัน-นักวิเคราะห์กองทุนรวมมองราคาน้ำมันสูงขึ้น ดันอัตราเงินเฟ้อทั้งในเอเชียและยุโรปเพิ่มสูงขึ้น ส่งผลให้ราคาทองคำทำสถิติใหม่อีกครั้ง ล่าสุดมองแนวต้านระยะสั้นอยู่ที่ 1,500 -1,550 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ พร้อมแนะลงทุนกองทุนตราสารหนี้ต่างประเทศที่เน้นตลาดเกิดใหม่หนีดอกเบี้ยขาขึ้น
นายสานุพงศ์ สุทัศน์ธรรมกุล Fund SuperMart Analyst บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ความไม่สงบในตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือยังสร้างความกังวลด้านอุปทานน้ำมัน ทำให้ราคาน้ำมันยังคงผันผวนในระดับสูง แต่ ณ ราคาระดับนี้ เรามองว่าไม่ได้สะท้อนปัจจัยพื้นฐานที่ท่างกลุ่ม OPEC ยังมีกำลังการผลิตเหลือเพียงพอต่อความต้องการ ทำให้เรายังคงคำแนะนำเพียงเก็งกำไร ขึ้นขาย-ลงซื้อ ต่อเนืองจากก่อนช่วงวันหยุดยาว
โดยเราขยับกรอบการเคลื่อนไหวระยะสั้นขึ้นมาอยู่ระหว่าง 106 -120 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาเร์ล จากเดิมที่ 96 - 110 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาเร์ล หลังราคาผ่าน 110 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาเร์ล ไปได้กองทุน Top-pick ของเรายังเป็นกองทุนที่ใช้ราคา NAV ของกองทุน DBO ในคืนวันซื้อขายในการอ้างอิงอย่างเช่นกองทุน K-OIL บลจ.กสิกรไทย และ ASP-OIL ของบลจ. Asset Plus
นอกจากนี้ราคาน้ำมันที่สูงขึ้นได้สร้างแรงกดดันด้านเงินเฟ้อให้เพิ่มสูงขึ้นทั้งในเอเชียและยุโรป ซึ่งจะเป็นตัวฉุดรั้งการเติบโตของเศรษฐกิจโลกที่ยังคงเปราะบางให้ชะลอตัวลง บวกกับปัญหาหนี้ยุโรป ส่งผลให้ความต้องการทองคำกลับมาเพิ่มสูงขึ้นอีกครั้งในฐานะสินทรัพย์ป้องกันเงินเฟ้อและสินทรัพย์ปลอดภัย โดยจะเห็นการถือครองทองคำเพิ่มขึ้นของกองทุน SPDR ที่ถือทองคำเพิ่มขึ้นเป็น 1,231 ตัน (+18 ตัน ณ วันที่ 15 เม.ย. 54)
ทั้งนี้เราเชื่อว่าจะยังคงเห็นราคาทองคำทำสถิติใหม่ได้ต่อเนื่อง โดยแนวต้านระยะสั้นอยู่ที่ 1,500 -1,550 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ซึ่งกองทุนทองคำที่เรายังคงเลือกคือ กองทุนที่มีการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนอย่าง K-GOLD ของบลจ.กสิกรไทย (มีนโยบายจ่ายปันผล) และ ASP-GOLD ของบลจ. Asset Plus (ไม่มีการจ่ายปันผล)
สำหรับการลงทุนในหุ้นเรายังให้น้ำหนักการลงทุนใน Emerging market มากกว่าประเทศพัฒนาแล้วตามเดิม โดยเรายังเชื่อมั่นในการเติบโตของเศรษฐกิจประเทศกำลังพัฒนามากกว่าประเทศกลุ่ม G3 (สหรัฐ, ยุโรป และญี่ปุ่น) ที่เศรษฐกิจยังเปราะบาง ซึ่งกองทุนที่แนะนำในกลุ่ม Emerging market และยังคงเป็น ABGEM และ ABAPAC ซึ่งเรายังคงเชื่อมั่นในการเลือกบริษัทและประเทศที่กองทุนไปลงทุน สำหรับนักลงทุนที่ชื่นชอบ growth story ของจีน เราแนะนำ TMBCHEQ สำหรับการเกงกำไรหุ้น A-share โดยมอง Shanghai A-share index มีแนวต้านที่ 3,300 จุด และแนวรับ 3,000 จุด ส่วนการลงทุนระยะยาวเราแนะนำกองทุน ABCG ของ Aberdeen (กองทุนหุ้นต่างประเทศที่แนะนำไม่มีการป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน)
อย่างไรก็ตาม ภาพเศรษฐกิจโลกยังคงมีความไม่แน่นอนสูงจากภาวะเงินเฟ้อเนื่องมาจากต้นทุนที่สูงขึ้น อาจทำให้มีความผันผวนสูงในสินทรัพย์เสี่ยงทั้งหุ้นและสินค้าโภคภัณฑ์ การลงทุนระยะสั้นจึงควรเพิ่มความระมัดระวัง เช่นเดียวกับตลาดหุ้นเอเชียอื่นๆ
ขณะที่ตลาดหุ้นไทยเอง ในระยะสั้นถึงระยะกลาง มองว่ามีความเสี่ยงที่จะผันผวนได้เช่นเดียวกัน สำหรับนักลงทุนที่ลงทุนใน LTF หากต้องการลดความเสี่ยงเพื่อรักษาผลตอบแทน ที่ผ่านมาเราแนะนำเริ่มพิจารณาสับเปลี่ยนกองทุนไปยังกองทุน LTF ความผนผวนต่ำอย่างเช่นกองทุน 1SMART-LTF ของบลจ.วรรณ และกองทุน KSDLTF ของบลจ.กสิกรไทย โดยเรามองเป้าหมาย SETI ไว้ที่ 1,130-1,250 จุด ส่วนการลงทุนในตราสารหนี้ในช่วงแนวโนมอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น เราแนะนำให้กระจายการลงทุนไปยังกองทุนตราสารหนี้ต่างประเทศที่เน้นตลาดเกิดใหม่อย่างเช่น TMB Global Bond Fund ของบลจ.ทหารไทย ซึ่งกองทุนหลัก (Master Fund)เน้นลงทุนในตราสารหนี้ภาครัฐในกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่และประเทศพัฒนาแล้วบางประเทศที่มีเศรษฐกิจแข็งแกร่ง
นายสานุพงศ์ สุทัศน์ธรรมกุล Fund SuperMart Analyst บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ความไม่สงบในตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือยังสร้างความกังวลด้านอุปทานน้ำมัน ทำให้ราคาน้ำมันยังคงผันผวนในระดับสูง แต่ ณ ราคาระดับนี้ เรามองว่าไม่ได้สะท้อนปัจจัยพื้นฐานที่ท่างกลุ่ม OPEC ยังมีกำลังการผลิตเหลือเพียงพอต่อความต้องการ ทำให้เรายังคงคำแนะนำเพียงเก็งกำไร ขึ้นขาย-ลงซื้อ ต่อเนืองจากก่อนช่วงวันหยุดยาว
โดยเราขยับกรอบการเคลื่อนไหวระยะสั้นขึ้นมาอยู่ระหว่าง 106 -120 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาเร์ล จากเดิมที่ 96 - 110 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาเร์ล หลังราคาผ่าน 110 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาเร์ล ไปได้กองทุน Top-pick ของเรายังเป็นกองทุนที่ใช้ราคา NAV ของกองทุน DBO ในคืนวันซื้อขายในการอ้างอิงอย่างเช่นกองทุน K-OIL บลจ.กสิกรไทย และ ASP-OIL ของบลจ. Asset Plus
นอกจากนี้ราคาน้ำมันที่สูงขึ้นได้สร้างแรงกดดันด้านเงินเฟ้อให้เพิ่มสูงขึ้นทั้งในเอเชียและยุโรป ซึ่งจะเป็นตัวฉุดรั้งการเติบโตของเศรษฐกิจโลกที่ยังคงเปราะบางให้ชะลอตัวลง บวกกับปัญหาหนี้ยุโรป ส่งผลให้ความต้องการทองคำกลับมาเพิ่มสูงขึ้นอีกครั้งในฐานะสินทรัพย์ป้องกันเงินเฟ้อและสินทรัพย์ปลอดภัย โดยจะเห็นการถือครองทองคำเพิ่มขึ้นของกองทุน SPDR ที่ถือทองคำเพิ่มขึ้นเป็น 1,231 ตัน (+18 ตัน ณ วันที่ 15 เม.ย. 54)
ทั้งนี้เราเชื่อว่าจะยังคงเห็นราคาทองคำทำสถิติใหม่ได้ต่อเนื่อง โดยแนวต้านระยะสั้นอยู่ที่ 1,500 -1,550 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ซึ่งกองทุนทองคำที่เรายังคงเลือกคือ กองทุนที่มีการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนอย่าง K-GOLD ของบลจ.กสิกรไทย (มีนโยบายจ่ายปันผล) และ ASP-GOLD ของบลจ. Asset Plus (ไม่มีการจ่ายปันผล)
สำหรับการลงทุนในหุ้นเรายังให้น้ำหนักการลงทุนใน Emerging market มากกว่าประเทศพัฒนาแล้วตามเดิม โดยเรายังเชื่อมั่นในการเติบโตของเศรษฐกิจประเทศกำลังพัฒนามากกว่าประเทศกลุ่ม G3 (สหรัฐ, ยุโรป และญี่ปุ่น) ที่เศรษฐกิจยังเปราะบาง ซึ่งกองทุนที่แนะนำในกลุ่ม Emerging market และยังคงเป็น ABGEM และ ABAPAC ซึ่งเรายังคงเชื่อมั่นในการเลือกบริษัทและประเทศที่กองทุนไปลงทุน สำหรับนักลงทุนที่ชื่นชอบ growth story ของจีน เราแนะนำ TMBCHEQ สำหรับการเกงกำไรหุ้น A-share โดยมอง Shanghai A-share index มีแนวต้านที่ 3,300 จุด และแนวรับ 3,000 จุด ส่วนการลงทุนระยะยาวเราแนะนำกองทุน ABCG ของ Aberdeen (กองทุนหุ้นต่างประเทศที่แนะนำไม่มีการป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน)
อย่างไรก็ตาม ภาพเศรษฐกิจโลกยังคงมีความไม่แน่นอนสูงจากภาวะเงินเฟ้อเนื่องมาจากต้นทุนที่สูงขึ้น อาจทำให้มีความผันผวนสูงในสินทรัพย์เสี่ยงทั้งหุ้นและสินค้าโภคภัณฑ์ การลงทุนระยะสั้นจึงควรเพิ่มความระมัดระวัง เช่นเดียวกับตลาดหุ้นเอเชียอื่นๆ
ขณะที่ตลาดหุ้นไทยเอง ในระยะสั้นถึงระยะกลาง มองว่ามีความเสี่ยงที่จะผันผวนได้เช่นเดียวกัน สำหรับนักลงทุนที่ลงทุนใน LTF หากต้องการลดความเสี่ยงเพื่อรักษาผลตอบแทน ที่ผ่านมาเราแนะนำเริ่มพิจารณาสับเปลี่ยนกองทุนไปยังกองทุน LTF ความผนผวนต่ำอย่างเช่นกองทุน 1SMART-LTF ของบลจ.วรรณ และกองทุน KSDLTF ของบลจ.กสิกรไทย โดยเรามองเป้าหมาย SETI ไว้ที่ 1,130-1,250 จุด ส่วนการลงทุนในตราสารหนี้ในช่วงแนวโนมอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น เราแนะนำให้กระจายการลงทุนไปยังกองทุนตราสารหนี้ต่างประเทศที่เน้นตลาดเกิดใหม่อย่างเช่น TMB Global Bond Fund ของบลจ.ทหารไทย ซึ่งกองทุนหลัก (Master Fund)เน้นลงทุนในตราสารหนี้ภาครัฐในกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่และประเทศพัฒนาแล้วบางประเทศที่มีเศรษฐกิจแข็งแกร่ง