xs
xsm
sm
md
lg

ปัจจัยลบดันราคาทองคำพุ่ง กูรูคาดสถิติใหม่1,500USD/oz

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ASTVผู้จัดการรายวัน-นักวิเคราะห์กองทุนรวม มองความผันผวนและปัจจัยลบในตลาดโลกส่งผลบวกให้ราคาทองคำยังไต่ระดับต่อ แนะนักลงทุนทยอยสะสมทองคำเข้าพอร์ตเมื่อเห็นราคาอ่อนตัว พร้อมประเมินราคาทองยังอยู่ที่ 1,500USD/oz

นายสานุพงศ์ สุทัศน์ธรรมกุล Fund SuperMart Analyst บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ความผันผวนและข่าวลบในตลาดโลกเป็นผลบวกต่อทองคำ แนะนำทยอยสะสมเพิ่มเมื่อเห็นราคาอ่อนตัวเราคาดว่าสัปดาห์นี้ ตลาดมีแนวโน้มปรับตัวในเชิงลบจากความวิตกเกี่ยวกับผลกระทบในเชิงเศรษฐกิจจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งล่าสุดในญี่ปุ่น ประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลก แม้ในเบื้องต้นจะยังยากที่จะประเมินถึงขนาดของผลกระทบและความเสียหายต่อเศรษฐกิจโลก แต่เชื่อว่าเหตุการณ์ดังกล่าวจะกดดัน sentiment ในตลาดสินทรัพย์เสี่ยง

อย่างไรก็ตาม เรามองว่าทองคำมีแนวโน้มได้รับประโยชน์จากความไม่แน่นอนที่มีอยู่ในตลาดโลกในขณะนี้ ไม่ว่าจะเป็นความวิตกเกี่ยวกับญี่ปุ่น, การประท้วงที่ยังคงยืดเยื้อในตะวันออกกลางและความไม่แน่นอนของปัญหาหนี้ในยุโรปที่กลับมาในความสนใจของนักลงทุนอีกครั้ง ในสัปดาห์ที่แล้ว ทองคำอ่อนตัวลงมาปิดที่ 1,417.0 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์หลังขึ้นไปแตะระดับสูงสุดตลอดการณ์ที่ 1,444.40 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ เรามองว่าการอ่อนตัวดังกล่าวเป็นเพียงการพักฐานระยะสั้น และเชื่อว่าทองคำจะยังคงปรับตัวขึ้นต่อตามแนวโน้มขาขึ้นในระยะกลาง-ยาว ยังคงคำแนะนำทยอยสะสมเมื่อราคาอ่อนตัวและมองเป้าหมายในเบื้องต้นของทองคำไว้ที่ 1,500 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ส่วนกองทุนทองคำแนะนำ K-GOLD ของบลจ.กสิกรไทย (มีนโยบายจ่ายปันผล) และ ASP-GOLD ของบลจ. .AssetPlus (ไม่มีการจ่ายปันผล) ทั้งนี้ ทั้งสองกองมีการป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน

สำหรับน้ำมันราคาน้ำมัน Nymex อ่อนตัวลงมาเช่นกันในสัปดาห์ที่แล้ว อย่างไรก็ดี ราคายังคงยืนเหนือ 100 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาลเรล์ทำให้แนวโน้มขาขึ้นระยะสั้นยังคงไม่เสียหาย สำหรับนักลงทุนที่ต้องการเก็งกำไร อาจต้องเพิ่มความระมัดระวังในการลงทุนและต้องจับตาอย่างใกล้ชิด เพราะการเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันในรอบนี้ เหตุผลหลักมาจากความกังวลเกี่ยวกับปัญหาด้านอุปทาน ดังนั้น หากความวิตกคลายไป บวกกับการคาดการณ์ที่ว่าความต้องการน้ำมันของญี่ปุ่นอาจลดลงหลังเศรษฐกิจญี่ปุ่นถูกกระทบจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งเลวร้ายที่สุดในรอบ 140 ปี อาจทำให้เห็นการอ่อนตัวของราคาได้เร็ว ในทางเทคนิค เรามองแนวต้านของน้ำมันที่ 110 US$/bbl ซึ่งให้ถือเป็นจุดขายทำกำไรจุดแรกและระวังหรืออาจ cut loss หากราคาต่ำกว่า 95ดอลลาร์สหรัฐต่อบาลเรล์กองทุนที่แนะนำยังคงเป็นกองทุนที่ใช้ราคา NAV ของกองทุน DBO ในคืนวันซื้อขายในการอ้างอิงอย่างเช่นกองทุน K-OIL บลจ.กสิกรไทย และ ASP-OIL ของบลจ. Asset Plus

ขณะที่การลงทุนในประเทศจีนนั้น ดัชนีเซี่ยงไฮ้ A-share มีแนวโน้มกลับขึ้นไปทดสอบ high เดิมที่ราวๆ 3,330 จุด ซึ่งนักลงทุนที่เก็งกำไรในTMBCHEQ ของบลจ.ทหารไทยอาจทยอยขายทำกำไรได้ในจุดดังกล่าว

นายสานุพงศ์ กล่าวต่อว่า ส่วนการลงทุนระยะยาวในตลาดหุ้นไทยนั้น แม้ในสัปดาห์ที่แล้วสามารถผ่านแนวต้านทางจิตวิทยาที่ 1,000 จุดมาได้ อย่างไรก็ตามบล.ฟิลลิมองเป้าหมายทางเทคนิคของ SETI ไว้ในเบื้องต้นที่ 1,145 ดังนั้น สำหรับนักลงทุน LTF ที่กลัวความเสี่ยงขาลงในระยะยาว ก็นับว่าช่วงที่ตลาดกลับมาซื้อขายเหนือ 1,000 จุดเป็นจังหวะที่ดีในการสับเปลี่ยนไปยังกองทุน LTF ความเสี่ยงต่ำอย่าง 1SMART-LTF ของบลจ.วรรณและกองทุน KSDLTF ของบลจ.กสิกรไทย (การสับเปลี่ยนอาจมีค่าใช้จ่าย โปรดตรวจสอบก่อนการตัดสินใจ)

ด้านการลงทุนในต่างประเทศนั้นเรายังคงเชื่อมั่นในเศรษฐกิจประเทศตลาดเกิดใหม่มากกว่ากลุ่ม G3 (สหรัฐ ยุโรป และญี่ปุ่น) กองทุนที่แนะนำยังคงเป็น ABGEM และ ABAPACสำหรับนักลงทุนที่ชื่นชอบ growth story ของจีน ยังคงแนะนำ ABCG ของ Aberdeen แต่ขอย้ำว่าการลงทุนในจีนเหมาะสำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ค่อนข้างสูง (ทั้ง 3 กองของ Aberdeen ไม่มีการป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน) ส่วนตราสารหนี้เราก็ยังเน้นตลาดเกิดใหม่เช่นกัน กองทุนตราสารหนี้ต่างประเทศแนะนำเป็น TMB Global Bond Fund ของบลจ.ทหารไทย ซึ่งกองทุนหลัก (Master Fund) เน้นลงทุนในตราสารหนี้ภาครัฐในกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่และประเทศพัฒนาแล้วบางประเทศที่มีเศรษฐกิจ แข็งแกร่งและไม่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากวิกฤติหนี้ในกลุ่มยูโรโซน
กำลังโหลดความคิดเห็น