นักวิเคราะห์กองทุนรวม แนะนักลงทุนกระจายการลงทุน หลังเงินเฟ้อเร่งตัวมากขึ้น พร้อมมองตลาดเกิดใหม่ยังดีกว่า สหรัฐฯ ยุโรปและญี่ปุ่น แม้จะมีปัญหาเรื่องการควบคุมเงินเฟ้ออยู่บ้าง
นายสานุพงศ์ สุทัศน์ธรรมกุล Fund SuperMart Analyst บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การลงทุนในระยะยาว เรายังคงเชื่อมั่นในเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่มากกว่าทางกลุ่ม G3 ซึ่งประกอบไปด้วย สหรัฐฯ ยุโรป และญี่ปุ่น สำหรับประเด็นเรื่องเงินเฟ้อ เรามองว่าไม่ใช่ทุกประเทศที่มีปัญหาเกี่ยวกับการดำเนินการควบคุมเงินเฟ้อในประเทศ นักลงทุนที่กังวลในจุดดังกล่าว สามารถลดความเสี่ยงได้ด้วยการกระจายการลงทุนมากกว่ากระจุกตัวอยู่ในประเทศใดประเทศหนึ่ง กองทุนตลาดเกิดใหม่ที่แนะนำยังคงเป็น ABGEM และ ABAPAC ของ บลจ. Aberdeen สำหรับตลาดจีน เรายังคงชื่นชอบการเติบโตที่แข็งแกร่งและโดดเด่นของจีนอยู่ ในแง่เงินเฟ้อ เราเชื่อว่าจะเห็นการปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้น ในระยะสั้น ดัชนีเซี่ยงไฮ้ A-share ระยะสั้นกลับมาสู่แนวโน้มขาขึ้นอีกครั้ง
โดยเราแนะนำเก็งกำไรกองทุน TMBCHEQ ของบลจ.ทหารไทย แต่ขอย้ำว่าการลงทุนในจีนเหมาะสำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ค่อนข้างสูงและไม่กลัวความผันผวนระยะสั้น สำหรับการลงทุนระยะยาวในกองทุนจีน ยังคงแนะนำ ABCG ของ Aberdeen ตามเดิม ส่วนตราสารหนี้เราก็ยังเน้นตลาดเกิดใหม่เช่นเดิม โดยกองทุนตราสารหนี้ต่างประเทศแนะนำเป็น TMB Global Bond Fund ของ บลจ.ทหารไทย โดยกองทุนหลัก (MasterFund) ลงทุนในตราสารหนี้ภาครัฐในกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่และประเทศยุโรปบางประเทศที่มีเศรษฐกิจแข็งแกร่งและไม่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากวิกฤติหนี้ในกลุ่มยูโรโซน
ขณะที่สถานการณ์ความไม่สงบที่ขยายวงกว้างจากอียิปต์ไปสู่ประเทศอื่นๆในตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือ รวมทั้งความกังวลเกี่ยวกับการจัดการปัญหาเงินเฟ้อในกลุ่มประเทศเอเชียและตลาดเกิดใหม่เป็นปัจจัยหนุนราคาทองคำทั้งในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยและสินทรัพย์ป้องกันเงินเฟ้อโดยในสัปดาห์ที่ผ่านมา ราคาทองคำปิดที่ 1,388.58 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ทะลุแนวต้านระยะสั้นที่เรามองไว้เมื่อสัปดาห์ที่แล้วที่ 1,370-1,380 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์มาได้ ให้ภาพแนวโน้มขาขึ้นในระยะสั้นที่แข็งแกร่งมากขึ้น โดยหากนักลงทุนต้องการสะสมเพิ่ม ลุ้นเข้าสะสมหากราคามีการอ่อนตัวลงมาใกล้ๆแนวรับที่ 1,380 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์
สำหรับมุมมองระยะกลางถึงยาว ทยอยสะสมรอลุ้นทะลุ high เดิมที่ระดับ 1,430 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ เพื่อไปทดสอบกรอบขาขึ้นด้านบนซึ่งเบื้องต้นเรามองที่ 1,500 US$/oz. กองทุนทองคำแนะนำ K-GOLD ของ บลจ.กสิกรไทยและ ASP-GOLD ของบลจ. AssetPlus ซึ่งทั้งสองกองมีการป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน สำหรับกองทุนน้ำมัน อย่างที่ได้กล่าวไว้ก่อนหน้าว่าปัญหาในตะวันออกกลางไม่ค่อยส่งแรงหนุนให้กับราคาน้ำมันดิบ Nymex มากนัก จึงยังไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญในภาพทางเทคนิคของ Nymex
โดยแนวโน้มการปรับตัวยังคงอยู่ในกรอบ 84-94 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาลเรล์ แนะนำขึ้นขาย-ลงซื้อ ตามกรอบดังกล่าวควบคู่กับการเปรียบเทียบการเปลี่ยนแปลงใน NAV ของกองทุนหลัก PowerShares DB Oil Fund กองทุนน้ำมันยังแนะนำ K-OIL ของบลจ.กสิกรไทย
ส่วนภาพการลงทุนในตลาดหุ้นไทยก็ยังคงไม่เปลี่ยน เรามองว่าตลาดยังคงมีความเสี่ยงขาลง ขณะที่การรีบาวน์ในช่วงนี้ถือเป็นโอกาสที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนที่ลงทุนใน LTF ที่จะสับเปลี่ยนเข้ากองทุน LTF ความเสี่ยงต่ำ กองทุนแนะนำได้แก่ 1SMART-LTF ของบลจ.วรรณและกองทุน KSDLTF (K Strategic Defensive LTF) ของบลจ.กสิกรไทย
นายสานุพงศ์ กล่าวต่อว่า ภาพรวมตลาดหุ้นส่วนใหญ่ในกลุ่มประเทศ G3 ยังคงแกว่งตัวขึ้นต่อเนื่องจากแรงหนุนของฤดูประกาศผลประกอบการ ขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจโดยรวมก็ให้ภาพที่ดีเช่นกัน โดยในสหรัฐ FED ได้ปรับเพิ่มคาดการณ์ GDP growth ปี 2554 มาอยู่ที่ 3.4-3.9% จากประมาณการก่อนหน้าที่ 3.0-3.6% อย่างไรก็ดี DJIA ลดช่วงบวกลงหลังตัวเลขผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานออกมาน่าผิดหวัง โดยเพิ่มขึ้นถึง 25,000 ราย มาอยู่ที่ 410,000 เทียบกับตลาดที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเพียง 15,000 ราย