นักวิเคราะห์กองทุนรวม ประเมินสถานการณ์ความไม่สงบของประเทศอียิปต์เป็นปัจจัยหลักกดดันให้ตลาดหุ้นทั่วโลกรวมถึงไทยปรับตัวลงตามความกังวล แนะนำนักลงทุนลดพอร์ตสินทรัพย์เสี่ยงออกไปก่อน
นายสานุพงศ์ สุทัศน์ธรรมกุล Fund SuperMart Analyst บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยแม้ว่าจะเห็นการรีบาวด์ช่วงปลายครึ่งหลังของสัปดาห์ที่แล้ว แต่ด้วยปัจจัยความไม่สงบในอียิปต์ซึ่งเข้ามากระทบเพิ่มเติมทำให้สินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลก ยกเว้นน้ำมันและทองคำ ปรับตัวลดลงตามความกังวล เรายังมองว่าตลาดหุ้นไทยยังมีโอกาสปรับตัวลงต่อ จึงยังคงคำแนะนำให้หลีกเลี่ยงหุ้นไทยในระยะสั้นนี้ สำหรับนักลงทุนที่ลงทุนใน LTF และต้องการหยุดการขาดทุนของพอร์ตการลงทุนในระยะสั้นเรายังคงแนะนำให้สับเปลี่ยนกองทุนเข้าไปยังกองทุน LTF ที่มีความเสี่ยงต่ำกว่าปกติอย่างกองทุน 1SMART-LTF ของ บลจ.วรรณ และกองทุนKSDLTF (K Strategic Defensive LTF) ของ บลจ.กสิกรไทย และสับเปลี่ยนกลับไปยังกองทุน LTF ที่ไม่ได้มีการป้องกันความเสี่ยงตลาดเมื่อตลาดกลับมาเป็นขาขึ้นอีกครั้ง
อย่างไรก็ตามในช่วงระยะสั้นนี้เรายังคงอยู่ท่ามกลางความผันผวนตามปัจจัยเสี่ยงที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นปัญหาหนี้ในยุโรป เงินเฟ้อในประเทศกำลังพัฒนาความไม่สงบในตะวันออกกลาง แต่ด้วยความไม่สมดุลกันระหว่างประเทศกำลังพัฒนาที่เติบโตเร็วและมั่นคงกว่าประเทศพัฒนาแล้วซึ่งเต็มไปด้วยปัญหาที่ต้องได้รับการแก้ไข ทำให้เรามองการลงทุนระยะยาวไปยังกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาหรือตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market)โดยเฉพาะจีน ซึ่งเรายังคงมองว่ามาตรการต่างๆของรัฐบาลจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจในระยะยาว แม้ว่าจะทำให้ผันผวนในระยะสั้น เราจึงมองว่าเป็นจังหวะที่ดีในการเข้าสะสมเพื่อลงทุนในระยะยาว โดยกองทุนแนะนำยังเป็น ABCG (Aberdeen China Gateway Fund) ซึ่งกลยุทธ์ในการเลือกหุ้นของกองทุนมีการลงทุนในกลุ่มธนาคารจีน (Mainland China) เพียงเล็กน้อย ทำให้ลดผลกระทบจากเรื่องมาตรการและการควบคุมสินเชื่อได้และกองทุนยังคงได้ประโยชน์จากการเติบโตของเศรษฐกิจจีน นอกจากนี้เรายังแนะนำ ABGEM และ ABAPAC ของ บลจ.Aberdeen ตามเดิม
ขณะที่ตราสารหนี้เรายังเน้นไปที่ตลาดเกิดใหม่เช่นกัน โดยกองทุนตราสารหนี้ต่างประเทศแนะนำเป็น TMB Global BondFund ของ บลจ.ทหารไทย โดยกองทุนหลัก (Master Fund) ลงทุนในตราสารหนี้ภาครัฐในกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ และประเทศที่มีเศรษฐกิจแข็งแกร่ง
สำหรับน้ำมันราคาน้ำมันดีดกลับแรงเกือบ 4 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาลเรล์มาอยู่ที่ 89.34 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาลเรล์ จากความกังวลต่อสถานการณ์ในประเทศอียิปต์ที่อาจกระทบต่อการขนส่งน้ำมัน อย่างไรก็ตาม เรายังคงมองแนวโน้มน้ำมันแกว่งตัวในกรอบ 84 - 94 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาลเรล์ต่อไป แนะนำ ขึ้นขาย-ลงซื้อ ตามเดิมส่วนราคาทองคำกลับมาได้รับความสนใจเพิ่มขึ้นในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยทำให้ราคาทองคำปรับตัวขึ้นมาอยู่ที่ 1,334.79 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อออนซ์หลังลงไปใกล้ๆแนวรับที่ 1,300 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อออนซ์ (ราคาทองคำปิดต่ำสุด 1,311.11 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อออนซ์) แนวโน้มระยะกลาง-ยาวยังเชื่อว่าเป็นขาขึ้นอยู่ แนะนำสะสมเพิ่มเมื่อราคาอ่อนตัวมาใกล้ๆแนวรับ 1,300ดอลลาร์สหรัฐฯต่อออนซ์กองทุนทองคำที่เเนะนำได้แก่ K-GOLD ของ บลจ.กสิกรไทย เเละทางเลือกสำหรับกองทุนทองคำที่ไม่จ่ายปันผล แนะนำ ASP-GOLD ของ บลจ. Asset Plus ทั้งนี้ ทั้งสองกองมีนโยบายป้องกันความเสี่ยงอัตราเเลกเปลี่ยนเหมือนกัน
นายสานุพงศ์ กล่าวว่า บรรยากาศการลงทุนในช่วงต้นสัปดาห์ยังคงให้ภาพคล้ายกับหลายสัปดาห์ก่อนหน้ากล่าวคือ นักลงทุนยังคงให้ความสนใจกับผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในตลาดรวมทั้งตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐ อย่างไรก็ตาม เหตุประท้วงในอียิปต์ที่ทวีความรุนแรงมากขึ้นในวันศุกร์ได้บั่นทอนความมั่นใจของนักลงทุนและกระตุ้นแรงขายแต่ยังดีที่มีแรงหนุนจากการประกาศตัวเลข GDP ของสหรัฐในไตรมาส 4/53 ที่ 3.2%ขยายตัวได้ดีเมื่อเทียบกับไตรมาส 3/53 ที่ 2.6% และการปรับตัวดีขึ้นของการใช้จ่ายภาคเอกชนช่วยเพิ่มความคาดหวังในการฟื้นตัวและช่วยลดผลลบจากความกังวลเกี่ยวกับอียิปต์ส่งให้ DJIA ยังปิดบวกได้
ส่วนตลาดหุ้นเอเชียในสัปดาห์ที่ผ่าน โดยรวมปรับตัวในเเดนลบ ยกเว้น ตลาดหลักอย่างจีนดัชนีเซี่ยงไฮ้ A-Share ที่ปิดบวกได้ที่ 2,881.97 (+1.38%) หลังสภาพคล่องในตลาดปรับตัวดีขึ้น ขณะที่ดัชนีฮ่องกง Hang Seng ปิดที่ 23,617.02 (-1.09%) จากความกังวลเกี่ยวกับมาตรการควบคุมภาคอสังหาริมทรัพย์ในจีนที่กดดันหุ้นการเงินและอสังหาฯ ในตลาด ส่วนกลุ่ม TIP ยังเผชิญแรงขายต่อเนื่องจากต่างชาติ โดยในไทยเองSETI ปรับลงอย่างหนักและหลุดระดับ 1,000 จุดอย่างรวดเร็วในวันจันทร์และปิดที่981.83 (-2.46%) เมื่อสิ้นสัปดาห์ ทั้งนี้ ตลาดฝั่งเอเชียส่วนใหญ่ยังไม่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ในอียิปต์มากนัก เนื่องจากตลาดปิดทำการก่อนที่เหตุการณ์จะทวีความรุนแรงขึ้นทำให้คาดว่าสัปดาห์นี้มีโอกาสสูงที่ตลาดจะผันผวนในทางลบจากการรับข่าวดังกล่าว
นายสานุพงศ์ สุทัศน์ธรรมกุล Fund SuperMart Analyst บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยแม้ว่าจะเห็นการรีบาวด์ช่วงปลายครึ่งหลังของสัปดาห์ที่แล้ว แต่ด้วยปัจจัยความไม่สงบในอียิปต์ซึ่งเข้ามากระทบเพิ่มเติมทำให้สินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลก ยกเว้นน้ำมันและทองคำ ปรับตัวลดลงตามความกังวล เรายังมองว่าตลาดหุ้นไทยยังมีโอกาสปรับตัวลงต่อ จึงยังคงคำแนะนำให้หลีกเลี่ยงหุ้นไทยในระยะสั้นนี้ สำหรับนักลงทุนที่ลงทุนใน LTF และต้องการหยุดการขาดทุนของพอร์ตการลงทุนในระยะสั้นเรายังคงแนะนำให้สับเปลี่ยนกองทุนเข้าไปยังกองทุน LTF ที่มีความเสี่ยงต่ำกว่าปกติอย่างกองทุน 1SMART-LTF ของ บลจ.วรรณ และกองทุนKSDLTF (K Strategic Defensive LTF) ของ บลจ.กสิกรไทย และสับเปลี่ยนกลับไปยังกองทุน LTF ที่ไม่ได้มีการป้องกันความเสี่ยงตลาดเมื่อตลาดกลับมาเป็นขาขึ้นอีกครั้ง
อย่างไรก็ตามในช่วงระยะสั้นนี้เรายังคงอยู่ท่ามกลางความผันผวนตามปัจจัยเสี่ยงที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นปัญหาหนี้ในยุโรป เงินเฟ้อในประเทศกำลังพัฒนาความไม่สงบในตะวันออกกลาง แต่ด้วยความไม่สมดุลกันระหว่างประเทศกำลังพัฒนาที่เติบโตเร็วและมั่นคงกว่าประเทศพัฒนาแล้วซึ่งเต็มไปด้วยปัญหาที่ต้องได้รับการแก้ไข ทำให้เรามองการลงทุนระยะยาวไปยังกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาหรือตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market)โดยเฉพาะจีน ซึ่งเรายังคงมองว่ามาตรการต่างๆของรัฐบาลจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจในระยะยาว แม้ว่าจะทำให้ผันผวนในระยะสั้น เราจึงมองว่าเป็นจังหวะที่ดีในการเข้าสะสมเพื่อลงทุนในระยะยาว โดยกองทุนแนะนำยังเป็น ABCG (Aberdeen China Gateway Fund) ซึ่งกลยุทธ์ในการเลือกหุ้นของกองทุนมีการลงทุนในกลุ่มธนาคารจีน (Mainland China) เพียงเล็กน้อย ทำให้ลดผลกระทบจากเรื่องมาตรการและการควบคุมสินเชื่อได้และกองทุนยังคงได้ประโยชน์จากการเติบโตของเศรษฐกิจจีน นอกจากนี้เรายังแนะนำ ABGEM และ ABAPAC ของ บลจ.Aberdeen ตามเดิม
ขณะที่ตราสารหนี้เรายังเน้นไปที่ตลาดเกิดใหม่เช่นกัน โดยกองทุนตราสารหนี้ต่างประเทศแนะนำเป็น TMB Global BondFund ของ บลจ.ทหารไทย โดยกองทุนหลัก (Master Fund) ลงทุนในตราสารหนี้ภาครัฐในกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ และประเทศที่มีเศรษฐกิจแข็งแกร่ง
สำหรับน้ำมันราคาน้ำมันดีดกลับแรงเกือบ 4 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาลเรล์มาอยู่ที่ 89.34 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาลเรล์ จากความกังวลต่อสถานการณ์ในประเทศอียิปต์ที่อาจกระทบต่อการขนส่งน้ำมัน อย่างไรก็ตาม เรายังคงมองแนวโน้มน้ำมันแกว่งตัวในกรอบ 84 - 94 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาลเรล์ต่อไป แนะนำ ขึ้นขาย-ลงซื้อ ตามเดิมส่วนราคาทองคำกลับมาได้รับความสนใจเพิ่มขึ้นในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยทำให้ราคาทองคำปรับตัวขึ้นมาอยู่ที่ 1,334.79 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อออนซ์หลังลงไปใกล้ๆแนวรับที่ 1,300 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อออนซ์ (ราคาทองคำปิดต่ำสุด 1,311.11 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อออนซ์) แนวโน้มระยะกลาง-ยาวยังเชื่อว่าเป็นขาขึ้นอยู่ แนะนำสะสมเพิ่มเมื่อราคาอ่อนตัวมาใกล้ๆแนวรับ 1,300ดอลลาร์สหรัฐฯต่อออนซ์กองทุนทองคำที่เเนะนำได้แก่ K-GOLD ของ บลจ.กสิกรไทย เเละทางเลือกสำหรับกองทุนทองคำที่ไม่จ่ายปันผล แนะนำ ASP-GOLD ของ บลจ. Asset Plus ทั้งนี้ ทั้งสองกองมีนโยบายป้องกันความเสี่ยงอัตราเเลกเปลี่ยนเหมือนกัน
นายสานุพงศ์ กล่าวว่า บรรยากาศการลงทุนในช่วงต้นสัปดาห์ยังคงให้ภาพคล้ายกับหลายสัปดาห์ก่อนหน้ากล่าวคือ นักลงทุนยังคงให้ความสนใจกับผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในตลาดรวมทั้งตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐ อย่างไรก็ตาม เหตุประท้วงในอียิปต์ที่ทวีความรุนแรงมากขึ้นในวันศุกร์ได้บั่นทอนความมั่นใจของนักลงทุนและกระตุ้นแรงขายแต่ยังดีที่มีแรงหนุนจากการประกาศตัวเลข GDP ของสหรัฐในไตรมาส 4/53 ที่ 3.2%ขยายตัวได้ดีเมื่อเทียบกับไตรมาส 3/53 ที่ 2.6% และการปรับตัวดีขึ้นของการใช้จ่ายภาคเอกชนช่วยเพิ่มความคาดหวังในการฟื้นตัวและช่วยลดผลลบจากความกังวลเกี่ยวกับอียิปต์ส่งให้ DJIA ยังปิดบวกได้
ส่วนตลาดหุ้นเอเชียในสัปดาห์ที่ผ่าน โดยรวมปรับตัวในเเดนลบ ยกเว้น ตลาดหลักอย่างจีนดัชนีเซี่ยงไฮ้ A-Share ที่ปิดบวกได้ที่ 2,881.97 (+1.38%) หลังสภาพคล่องในตลาดปรับตัวดีขึ้น ขณะที่ดัชนีฮ่องกง Hang Seng ปิดที่ 23,617.02 (-1.09%) จากความกังวลเกี่ยวกับมาตรการควบคุมภาคอสังหาริมทรัพย์ในจีนที่กดดันหุ้นการเงินและอสังหาฯ ในตลาด ส่วนกลุ่ม TIP ยังเผชิญแรงขายต่อเนื่องจากต่างชาติ โดยในไทยเองSETI ปรับลงอย่างหนักและหลุดระดับ 1,000 จุดอย่างรวดเร็วในวันจันทร์และปิดที่981.83 (-2.46%) เมื่อสิ้นสัปดาห์ ทั้งนี้ ตลาดฝั่งเอเชียส่วนใหญ่ยังไม่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ในอียิปต์มากนัก เนื่องจากตลาดปิดทำการก่อนที่เหตุการณ์จะทวีความรุนแรงขึ้นทำให้คาดว่าสัปดาห์นี้มีโอกาสสูงที่ตลาดจะผันผวนในทางลบจากการรับข่าวดังกล่าว