"อเบอร์ดีน" คาดการณ์ บอนด์ตลาดเกิดใหม่ปีนี้ยังทะยาน โดยยิลด์เฉลี่ยทั้งปีอยู่ที่ 5 - 6% เป็นโอกาสที่ดี ขณะที่เม็ดเงินจะไหลเข้ามาลงทุนอีก รวมถึงตลาดไทย เชื่อ ธปท. จะขึ้นดอกเบี้ย อีก 1% ในการประชุมครั้งหน้า
นายพงค์ธาริน ทรัพยานนท์ หัวหน้าฝ่ายตราสารหนี้ ประเทศไทย บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) อเบอร์ดีน จำกัด เปิดเผยว่า ตราสารหนี้ตลาดเกิดใหม่ยังน่าสนใจลงทุนจากแนวโน้มเศรษฐกิจที่ดีขึ้นโดยคาดว่าเศรษฐกิจในกลุ่มตลาดเกิดใหม่ในปี2011 จะโตประมาณ 6.0% ในเอเชียประมาณ 7 - 8% สูงกว่าการเติบโตของกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วไม่ว่าจะเป็นสหรัฐ ยุโรป หรือญี่ปุ่น ไม่เพียงเท่านี้หนี้ของกลุ่มตลาดเกิดใหม่ก็น้อยกว่าครึ่งหนึ่งของประเทศที่พัฒนาแล้ว อีกทั้งมีการบริโภคที่เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องและขึ้นมาแซงการบริโภคของสหรัฐไปตั้งแต่ปี2007 - 2008 ที่ผ่านมา
โดยมีการประมาณกันว่าขนาดเศรษฐกิจของกลุ่มตลาดเกิดใหม่น่าจะถึง 50% ของขนาดเศรษฐกิจโลกภายในปี 2020 ขึ้นมามีขนาดเศรษฐกิจที่ใหญ่กว่ากลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้ว ถือเป็นโอกาสที่น่าสนใจเข้าไปลงทุนในตราสารหนี้ตลาดเกิดใหม่ เพราะแม้ในช่วงวิกฤติปี2008 ที่ผ่านมานั้น ประเทศในกลุ่มตลาดเกิดใหม่จะได้รับผลกระทบไปด้วยรวมทั้งไทยที่มีการปรับลดอันดับเครดิตของประเทศลงมาแต่ปัจจุบันหากมองจากดัชนีเทียบวัดของตลาดเกิดใหม่ในปัจจุบันมีค่าเฉลี่ยของอันดับเครดิตที่ปรับตัวดีขึ้นในระดับที่ลงทุนได้ประมาณ 50% แล้ว ในขณะที่ก่อนปี2007 อยู่ประมาณ 40% เท่านั้นและยังมีแนวโน้มที่อีกหลายประเทศในดัชนีจะถูกปรับอันดับเครดิตขึ้นตามมาในอนาคต 1 - 2 ปีข้างหน้า ด้วยเช่นกัน เช่น อินโดนีเซีย และตุรกี เป็นต้น
ทั้งนี้ ในส่วนของเครดิตสเปรด (Spread) ของตราสารหนี้ตลาดเกิดใหม่เมื่อเทียบกับพันธบัตรสหรัฐก็ยังอยู่ในระดับ 2.00 - 2.75% และมีโอกาสที่จะเพิ่มมูลค่าได้อีกเพราะปัญหาการผิดนัดชำระหนี้มีน้อยและมีโอกาสถูกปรับอันดับเครดิตขึ้นได้อีก นอกจากนี้ในปีนี้ค่าเงินในสกุลเงินท้องถิ่นของประเทศตลาดเกิดใหม่ก็ยังมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐแม้จะไม่มากเท่ากับปีที่แล้วก็ตาม ไม่เพียงเท่านี้ในแง่ของอัตราผลตอบแทนที่แท้จริง (Real Yield) ของตราสารหนี้ตลาดเกิดใหม่ก็ยังคงสูงและน่าสนใจลงทุนเมื่อเทียบกับประเทศพัฒนาแล้ว ดังนั้นตราสารหนี้ตลาดเกิดใหม่ยังจะเป็นเป้าหมายการลงทุนของเม็ดเงินลงทุนของนักลงทุนทั่วโลกอยู่ต่อเนื่องในปีนี้
ดังนั้น จะทำให้มีเม็ดเงินไหลเข้ามาในตราสารหนี้ตลาดเกิดใหม่อย่างต่อเนื่องรวมทั้งไทย ซึ่งมีน้ำหนักในการคำนวณดัชนีตราสารหนี้ตลาดเกิดใหม่ในสกุลเงินท้องถิ่นประมาณ 10% ด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ตามกลุ่มอเบอร์ดีนให้น้ำหนักการลงทุนในตราสารหนี้ไทยต่ำกว่าตลาด (Under Weight) เพราะอัตราผลตอบแทนที่แท้จริงค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับประเทศอื่นในกลุ่มตลาดเกิดใหม่ด้วยกัน และแนวโน้มของค่าเงินบาทที่แข็งค่าในปีนี้ก็ไม่น่าจะมากเท่าในปี53 ที่ผ่านมา โดยประเมินว่าจากสิ้นปี53 ไปอีก 6 เดือนข้างหน้า ค่าเงินบาทน่าจะแข็งค่าขึ้นได้อีกประมาณ 2.0% เท่านั้น หรือประมาณ 29.5 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ
นายพงค์ธาริน ยังกล่าวอีกว่า แม้ช่วงต้นปีที่ผ่านมาประเทศในกลุ่มตลาดเกิดใหม่จะมีความกังวลในเรื่องเงินเฟ้อทำให้มีการขายทำกำไรในตลาดหุ้นและตลาดตราสารหนี้ออกมาบ้าง แต่ก็พบว่าเป็นการขายเฉพาะตราสารหนี้ในสกุลเงินท้องถิ่นเท่านั้นไม่ใช่ตราสารหนี้ในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐและเลือกขายในบางประเทศที่รัฐบาลและธนาคารกลางไม่มีนโยบายดูแลเงินเฟ้อโดยการขึ้นอัตราดอกเบี้ยเท่านั้น นี่คือเหตุผลว่าทำไมตราสารหนี้ในไทยจึงไม่ถูกเทขายออกมาเพราะธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มีการส่งสัญญาณที่ชัดเจนในการขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย (R/P 1 วัน) เพื่อดูแลเงินเฟ้อซึ่งนักลงทุนจะชอบเพราะเงินเฟ้อในช่วงที่เสรษฐกิจยังมีการขยายตัวนั้นไม่น่ากังวลแต่ประการใดทางบลจ.อเบอร์ดีนก็ไม่ได้กังวลในเรื่องนี้กับประเทศที่มีท่าทีในการดูแลปัญหาที่ชัดเจน โดยบลจ.อเบอร์ดีนประเมินว่าทางธปท.จะขึ้นดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่องอีกอย่างน้อย 0.5% ในการประชุมครั้งถัดไป แต่ก็มีโอกาสที่จะปรับขึ้นไปได้ถึง 1.0% เช่นเดียวกัน แต่แนวโน้มที่จะปรับขึ้นไปถึง 1.0% จะมีความน่าจะเป็นมากกว่า 0.50% ในมุมมองของอเบอร์ดีน
“การปรับขึ้นดอกเบี้ยดังกล่าวจะทำให้ผลตอบแทนของตราสารหนี้ไทยในปีนี้มีความน่าสนใจมากขึ้น แต่ในช่วงดอกเบี้ยขาขึ้นผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลไทยเฉลี่ยทั้งปีก็น่าจะอยู่ประมาณ 3.0% บวกลบเท่านั้น เทียบกับโอกาสการลงทุนในตราสารหนี้ตลาดเกิดใหม่ที่คาดว่าในปีนี้จะให้ผลตอบแทนเฉลี่ยประมาณ 5 - 6% ซึ่งกองทุนเปิดอเบอร์ดีน อีเมอร์จิ้ง ออพพอทูนิตี้ส์ บอนด์ ฟันด์ (AEOB) ตั้งเป้าที่จะบริหารให้ดีกว่าดัชนีเทียบวัดประมาณ 2.0% และหากดูผลตอบแทน ณ วันที่ 24 ม.ค. 54 ย้อนหลังตั้งแต่จัดตั้งกองทุนในช่วง 3 ปี ที่ผ่านมา ให้ผลตอบแทนประมาณ 18.16% หรือเฉลี่ยปีละ 6.05% ก็ถือว่าเป็นอีกโอกาสที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนไทยเลยทีเดียว โดยปัจจุบันกองทุน AEOB มีอายุเฉลี่ยของตราสารหนี้ที่ลงทุน 6.2 ปี มีอัตราผลตอบแทน 6.7% มีอันดับเครดิตเฉลี่ย BB” นายพงค์ธาริน กล่าว
ด้าน นายชัยเกษม วัฒนศิริพงษ์ หัวหน้าฝ่ายจัดจำหน่ายกองทุน บลจ.อเบอร์ดีน กล่าวว่า กองทุน AEOB น่าจะเป้นทางเลือกให้กับนักลงทุนไทยที่สนใจได้เป็นอย่างดี โดยหวังว่าเม็ดเงินลงทุนจากกองพันธบัตรเกาหลีใต้ที่จะไหลกลับเข้ามานั้น นักลงทุนอาจจะแบ่งเงินประมาณ 20 - 30% เพื่อมาลงทุนกับกองทุน AEOB ดู เพราะในแง่ผลตอบแทนต่อความเสี่ยงของตราสารหนี้ตลาดเกิดใหม่ก็อยู่ในระดับที่น่าสนใจ ในช่วง 8 - 9 ปี ที่ผ่านมา มีค่าความผันผวนประมาณ 10.2%
ในขณะที่ผลตอบแทนประมาณ 11.4% คิดเป็น Shape Ratio 1.12 น่าสนใจมากทีเดียว โดยในช่วงเดือนก.พ.-มี.ค.54 นี้ บริษัทจะลดค่ธรรมเนียมในการซื้อลงเหลือ 1.0% จากเดิม 1.5% ให้กับผู้ที่สนใจลงทุนในช่วงเวลาดังกล่าวอีกด้วย พร้อมกันนี้กองทุน AEOB ก็มีการปรับมาใช้นโยบายป้องกันความเสี่ยงในเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนแล้วด้วยเช่นกัน