xs
xsm
sm
md
lg

จับตามาตรการคุมเข้มศก.จีน กูรูมองตลาดหุ้นผันผวนอีกระรอก

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

สานุพงศ์ สุทัศน์ธรรมกุล
โบรกเกอร์กองทุนรวม ประเมิน ความกังวลมาตรการคุมเข้มเศรษฐกิจจีนยังสร้างความผันผวนให้ตลาดหุ้นทั่วโลก แนะนักลงทุนกระจายความเสี่ยงให้เหมาะสม พร้อมคัดกองทุนเด่นน่าลงทุนประจำเดือนก.พ.

นายสานุพงศ์ สุทัศน์ธรรมกุล Fund SuperMart Analyst บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ทิศทางการลงทุนในเดือนกุมภาพันธ์ เรายังคงมองว่าความกังวลในจีนเกี่ยวกับมาตรการคุมเข้มทางเศรษฐกิจและการเงินจะยังคงมีอยู่และสร้างความผันผวนให้ตลาดได้ต่อ ดังนั้น สำหรับนักลงทุนที่กลัวความผันผวนในตลาดหุ้น แต่ก็ยังสนใจในความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจของจีน เราแนะนำให้กระจายการลงทุนในกลุ่มเอเชียเเละตลาดเกิดใหม่ผ่านกองทุน ABGEM และ ABAPAC ของบลจ.Aberdeen ที่มีการลงทุนในตลาดจีน/ฮ่องกงอยู่ด้วยในสัดส่วน 15.8% และ 21.3% ตามลำดับ(ข้อมูล ณ 30 ธค. 53) พร้อมกันนั้นก็มีการลงทุนในประเทศอื่นๆเพื่อช่วยลดการกระจุกตัวในจีน

โดยเรายังชื่นชอบเอเชียเเละตลาดเกิดใหม่มากกว่ากลุ่ม G3 ( สหรัฐ ยุโรป และญี่ปุ่น) เพราะถึงแม้รายงานตัวเลขเศรษฐกิจในช่วงหลังของสหรัฐจะออกมาในเชิงบวก แต่เรามองว่าศรษฐกิจสหรัฐยังต้องอาศัยเวลาอีกไม่น้อยกว่าที่จะทำให้อัตราการว่างงานที่อยู่ 9.4% ในปัจจุบันลดลงมาอยู่ที่ 6.0% ซึ่งเป็นระดับเป้าหมาย และตราบเท่าที่การปรับตัวของการบริโภคภาคเอกชนยังไม่สม่ำเสมอ การฟื้นตัวของสหรัฐจะยังเปราะบางอยู่มาก ขณะที่ทางยุโรปยังมีปัญหาหนี้เรื้อรัง ส่วนญี่ปุ่นก็ยังคงประสบปัญหาในการกระตุ้นการบริโภคในประเทศต่อไป

สำหรับมุมมองของการลงทุนในตราสารหนี้ก็เช่นเดียวกัน สำหรับความแตกต่างของการเติบโตทางเศรษฐกิจระหว่าง 2 กลุ่มประเทศ ระหว่างประเทศพัฒนาแล้วและ ประเทศกำลังพัฒนา ที่ดูเหมือนจะเป็นที่พูดถึงกันมากในช่วงทีผ่านมา เราคาดว่าจะยังคงเห็นความแตกต่างนี้ต่อไปในอีกหลายปีข้างหน้าซึ่งหนึ่งในกองทุนที่เรามองว่าจะสร้างผลตอบแทนจากความไม่สมดุลทางเศรษฐกิจคือกองทุน Global Bond ของ บลจ.ทหารไทย และ บลจ.ธนชาตการลงทุนของกองทุนหลักจะเน้นลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลของประเทศที่มีเศรษฐกิจแข็งแกร่ง เช่นประเทศกลุ่มตลาดเกิดใหม่และประเทศพัฒนาแล้วบางประเทศที่มีความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจ และค่าเงินของประเทศกลุ่มนี้มีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับดอลล่าร์สหรัฐ รวมถึงโอกาสที่จะได้เห็นการปรับขึ้น credit rating ด้วยเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม นักลงทุนอาจยังกังวลและไม่มั่นใจในการลงทุนกองทุนตราสารหนี้ เนื่องจากแนวโน้มการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของประเทศใน Emerging Market และประเทศที่มีเศรษฐกิจแข็งแกร่งเพื่อควบคุมภาวะเงิน เฟ้อและการปรับสมดุลนโยบายการเงินของประเทศตลาดเกิดใหม่ รวมถึงคาดการณ์การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐในอนาคตอันใกล้ แต่เราได้เห็นการวางกลยุทธ์เพื่อลดผลกระทบตรงจุดนี้แล้ว เช่น การลด Duration ของพอร์ตลง (เหลือ 2.5 ปี เทียบกับBenchmark ที่ 6.3 ปี) หรือการวางกลยุทธ์เพื่อ แสวงหาผลตอบแทนในช่วงที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐเป็นขาขึ้นผ่านทางความสัมพันธ์ของอัตราแลกเปลี่ยนระหว่างดอลล่าร์สหรัฐและเยนของญี่ปุ่น

ทั้งนี้ด้วยกลยุทธ์ที่เปิดรับความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนทำให้กองทุนนี้เหมาะกับนักลงทุนที่เข้าใจและรับความผันผวนจากอัตราแลกเปลี่ยนได้ ดังจะเห็นได้จากสถานการณ์ความตึงเครียดบนคาบสมุทรเกาหลีที่ทำให้ค่าเงินวอนเกิดความผันผวนอย่างมาก ส่งผลกระทบต่อNAV ของกองทุน Global Bond Fund เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีกองทุน Global Bond ที่เป็น RMF ของบลจ. ธนชาติ T-Global Bond RMF ซึ่งมีลักษณะคล้ายกองทุน T-Global Bond

นายสานุพงศ์ กล่าวต่อว่า การลงทุนในตลาดหุ้นไทยนั้น แนวโน้มระยะสั้นตลาดหุ้นอยู่ในช่วงขาลงและมีโอกาสผันผวนสูง เราแนะนำนักลงทุนระยะสั้นหลีกเลี่ยงตลาดหุ้นไทยในช่วงนี้ สำหรับนักลงทุนที่ลงทุนใน LTF เราแนะนำลดความเสี่ยงของพอร์ตLTF ลงด้วยการ Switch ไปยังกองทุน KSDLTF (K Strategic Defensive LTF) ของ บลจ.กสิกรไทยหรือ กองทุน 1SMART-LTF ของ บลจ.วรรณ ซึ่งมีการป้องกันความเสี่ยงเสมือนลงทุนในหุ้นน้อยกว่ากองทุน LTF ปกติ

อย่างไรก็ตาม เรายังเชื่อว่าระยะยาวตลาดหุ้นไทยยังคงมีแนวโน้มขาขึ้นตามภาพเศรษฐกิจของประเทศ จึงเป็นจังหวะที่ดีสำหรับนักลงทุนระยะยาวที่จะเข้าสะสมเพิ่ม หากราคาหุ้นปรับตัวลดลงมาพอสมควรแล้ว โดยกองทุนหุ้นที่แนะนำในช่วงที่มีภาวะตลาดหุ้นผันผวน เรายังคงชอบกองทุน AYFSDIV ของ บลจ.อยุธยา หรือ กองทุน ABSM ของ บลจ.อเบอร์ดีน สำหรับกองทุน LTF และ RMF แนะนำ AYFLTFDIV และ AYFDIVRMF ของ บลจ.อยุธยา

นอกจากนี้การลงทุนในทองคำและน้ำมันนั้นเรามองว่า ระยะสั้นราคาทองคำมีแนวโน้มขาลง หลังจากสถานการณ์ในยุโรปและสหรัฐฯดูดีขึ้น ทำให้มีแรงขายทำกำไรในทองคำ แต่เรายังเชื่อว่าระยะกลาง -ยาวยังมีแนวโน้มเป็นขาขึ้น โดยเรามองแนวรับไว้แถวๆ1,260-1,300 ดอลลาร์สหรัฐต่ออนซ์ แนะนำสะสมเมื่อใกล้แนวรับดังกล่าว สำหรับกองทุนทองคำยังคงชอบ KGOLDบลจ.กสิกรไทย ที่มีจุดเด่นที่น่าสนใจทั้งการป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนเต็มจำนวน(Fully Hedge) และค่าใช้จ่ายกองทุนที่ถูก รวมถึงการจ่ายปันผล

อย่างไรก็ตามหากนักลงทุนไม่ต้องการนโยบายการจ่ายปันผล เราแนะนำกองทุน ASP-GOLD ของ บลจ. แอสเซท พลัส เป็นทางเลือก โดยมีลักษณะเด่นเช่นเดียวกับ K-GOLD ส่วนน้ำมันเรายังคงแนะนำให้ขายทำกำไรเมื่อเข้าใกล้แนวต้านที่ 95 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาเรลในขณะที่ให้กลับเข้าซื้อเพื่อเก็งกำไรหากราคาน้ำมันปรับตัวลดลงมาแถว 82-84ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาเรล

โดยกองทุนแนะนำยังคงเป็น K-OIL แม้ว่าจะไม่ได้ประโยชน์จากการล่วงรู้ราคา NAV ของกองทุนหลัก DBOล่วงหน้า แต่ผลตอบแทนที่ได้ให้ความใกล้เคียงกับกองทุนหลักได้มากกว่า ขณะที่มีการป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน และค่าใช้จ่ายในการซื้อขายกองทุนที่ถูก
กำลังโหลดความคิดเห็น