xs
xsm
sm
md
lg

INGคาดเงินเฟ้อจีนเริ่มคลี่คลาย ดันfundflowไหลเข้าเกรทเทอร์ไชน่า

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


บลจ.ไอเอ็นจี มอง เงินเฟ้อของจีนเริ่มคลี่คลายเข้าสู่ระดับปกติในครึ่งปีหลังนี้ ส่งผลให้ fundflow ไหลเข้ามาลงทุนในจีนมากขึ้น ขณะที่ฮ่องกง และไต้หวัน ได้อานิสงค์ด้วย

นายต่อ อินทวิวัฒน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายธุรกิจกองทุนและที่ปรึกษาการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ไอเอ็นจี (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า บนความแตกต่างที่สมดุลของกลุ่ม เกรทเทอร์ ไชน่า นั้นต้องยอมรับงาส สาธารณรัฐประชาชนจีน คือ แกนหลักของกลุ่มนี้ เนื่องจากมีขนาดประเทศที่ใหญ่และประชากรจำนวนมาก ส่งผลให้มีพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งและฐานะการเงินที่มั่นคง โดยมีพัฒนาการแบบบูรณาการจากการเน้นการผลิตเพื่อส่งออก สู่ประเทศที่มีฐานผู้บริโภคขนาดใหญ่ และมีความต้องการบริโภคสินค้า รวมถึงบริการในประเทศที่อยู่ในระดับที่สูง

ขณะที่ตลาดหุ้นของ สาธารณรัฐประชาชนจีน ยังมีโอกาสปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นอีกมาก หากความกังวล เรื่องเงินเฟ้อและมาตรการควบคุมทางการเงินเบาบางลง ภายใต้ปัจจัยพื้นฐานที่ดีกว่าอีกหลายๆ ตลาดหลังจากผ่านวิกฤติการเงินระดับโลกที่มีต้นตอมาจากซับไพร์มไปแล้ว ระดับราคาหุ้นจีนกลับปรับตัวขึ้นน้อยกว่าตลาดภูมิภาคค่อนข้างมาก เนื่องจากมีความกังวลในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจที่ร้อนแรงและปัญหาเงินเฟ้อ อย่างไรก็ตาม ในรอบปีที่ผ่านมา มาตรการต่างๆที่รัฐบาลจีนได้ดำเนินการประสบความสำเร็จ โดยยังคงอัตราการเติบโตที่ระดับ 10.46% ซึ่งถือว่าดีอย่างต่อเนื่อง

“นักวิเคราะห์จากหลายค่ายเชื่อว่า เงินเฟ้อในจีนกำลังจะปรับตัวสู่ระดับสูงสุด และน่าจะลดลงในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ และปี 2555 โดยการที่รัฐบาลจีนได้ปรับเป้าหมายเงินเฟ้อขึ้นเป็น 5% แสดงถึงนโยบายควบคุมทางการเงินที่น่าจะผ่อนคลายลง โดยปัจจุบันตลาดหุ้นจีนมีอัตราส่วนหุ้นต่อกำไร (P/E) ที่ระดับ 12.1 เท่า ซึ่งนับว่า ยังค่อนข้างต่ำ เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยในอดีตที่ 13.9 เท่า” นายต่อกล่าว

ส่วนฮ่องกงก็ถือได้ว่า เป็นศูนย์กลางทางการค้าและการเงินของภูมิภาค โดยได้รับประโยชน์อย่างมากจากจีน ทั้งด้านธุรกิจการเงินการลงทุน อสังหาริมทรัพย์ และการท่องเที่ยว รวมถึงการเป็นตลาดการเงินใหม่จากการที่รัฐบาลจีนอนุญาตให้เปิดเสรีธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับเงินหยวนใน ฮ่องกง ทั้งซื้อขายเงิน การฝากเงิน ตลาดตราสารหนี้ และตลาดหุ้น ซึ่งจะผลักดันให้ตลาดการเงินใหม่ของฮ่องกงพัฒนาอย่าง รวดเร็วในอนาคต โดยปี 2553 ฮ่องกงเป็นตลาดที่มีการเสนอขายหุ้นให้กับประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) มากที่สุด นอกจากนี้ ยังมีบริษัทต่างชาติจำนวนมากเข้ามาจดทะเบียนในฮ่องกง หนึ่งในนั้นคือ United Company RUSAL ซึ่งเป็นผู้ผลิตอลูมิเนียมรายใหญ่ของรัสเซีย แต่ปัจจุบันตลาดหุ้นฮ่องกงยังมีอัตราส่วน P/E ที่ต่ำมากอยู่ที่ประมาณ 11 เท่า ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตที่ 13.7 เท่า

สำหรับไต้หวันนับเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมเทคโนโลยีและการผลิตที่ทันสมัยในภูมิภาคเอเชีย โดยในปีที่ผ่านมาเศรษฐกิจไต้หวันมีอัตราการเติบโตถึง 10.82% ซึ่งสูงสุดในรอบ 24 ปี โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการส่งออกสินค้าไปยังจีน นอกจากนี้ ไต้หวันยังน่าจะได้รับประโยชน์ในการเป็นผู้รับผลิตสินค้าเทคโนโลยีชั้นสูง หลังจากที่ญี่ปุ่นประสบปัญหาแผ่นดินไหว ขณะที่ค่า P/E ของตลาดหุ้นไต้หวันปัจจุบันอยู่ที่ระดับประมาณ 12 เท่า ซึ่งก็ค่อนข้างต่ำเมื่อเปรียบเทียบอดีตที่ 14 เท่า

ทั้งนี้ตลาดหุ้นในกลุ่มเกรทเทอร์ ไชน่า มีโอกาสปรับตัวขึ้นอีกมาก โดยนักวิเคราะห์ของโกลด์แมน แซคส์ คาดการณ์ว่า ระดับดัชนีในอีก 12 เดือนข้างหน้าของตลาดหุ้นจีน ไต้หวันและฮ่องกง มีโอกาสในการปรับตัวเพิ่มขึ้น 27.16%, 27.75% และ 28.45% ตามลำดับ ดังนั้น การลงทุนในหุ้นจีนก็เปรียบเสมือนการที่เราได้มีส่วนร่วมในการเติบโตนั้นด้วย

ขณะเดียวกันบลจ.ไอเอ็นจี ได้เปิดขายหน่วยลงทุน กองทุนเปิด ไอเอ็นจี ไทย เกรทเทอร์ ไชน่า ทริกเกอร์ 10% ระหว่างวันที่ 26 เมษายน - 4 พฤษภาคม 2554 ซึ่งมีมูลค่าโครงการ 2,000 โดยกองทุนดังกล่าวจะลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุน ING (L) Invest Greater China ที่บริหารโดย ING Investment Management เน้นการลงทุนในหุ้นที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ในกลุ่ม Greater China ประกอบด้วย สาธารณรัฐประชาชนจีน ฮ่องกง และ ไต้หวัน ซึ่งหากกองทุนดังกล่ามีหน่วยลงทุนมีมูลค่ามากกว่าหรือเท่ากับ 11.25 บาทต่อหน่วย ณ วันทำการใด กองทุนจะรับซื้อคืนหน่วยลงทุนอัตโนมัติทั้งหมด
กำลังโหลดความคิดเห็น