อัญชลี สบายสุข
Anchalee1311@hotmail.com
“การลงทุนในตลาดหุ้นไทยปีนี้ แนวโน้มการปรับตัวมีเพิ่มขึ้นอีกมากอยู่ที่ระดับ1,200 จุด หรือเติบโตจากปีก่อน 15-20% เนื่องจากมุมมองของต่างชาติยังเห็นว่าไทยเองมีสภาพเศรษฐกิจที่ดี และมีบริษัทจดทะเบียนที่สามารถสร้างความเชื่อมั่นได้ ส่งผลให้ตลาดหุ้นไทยเองมีความน่าสนใจเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นในยุโรปและสหรัฐอเมริกา”
ในปีนี้นักวิเคราะห์หลายฝ่ายมองว่าตลาดหุ้นไทยมีความน่าสนใจเนื่องจากว่ามีการปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพราะจากเศรษฐกิจที่เริ่มมีการปรับตัวดีขึ้น ถึงแม้ว่าจะมีปัญหาต่าง ๆ เข้ามากกระทบบ้างในช่วงไตรมาส 1 แต่นักวิเคราะห์ก็ยังมองว่ามันเป็นเพียงปัญหาที่ไม่ยืดยาวมากนัก
ตระกูลจิตร จิตตไสยะพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม (บลจ.) ธนชาต จำกัด บอกว่า การลงทุนในตลาดหุ้นไทยปีนี้ แนวโน้มการปรับตัวมีเพิ่มขึ้นอีกมากอยู่ที่ระดับ1,200 จุด หรือเติบโตจากปีก่อน 15-20% เนื่องจากมุมมองของต่างชาติยังเห็นว่าไทยเองมีสภาพเศรษฐกิจที่ดี และมีบริษัทจดทะเบียนที่สามารถสร้างความเชื่อมั่นได้ ส่งผลให้ตลาดหุ้นไทยเองมีความน่าสนใจเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นในยุโรปและสหรัฐอเมริกา
"อนาคตต่อจากนี้ไป ตลาดหุ้นไทยจะปรับขึ้นได้ก็จะต้องเติบโตไปตามการเติบโตของกำไรบริษัทจดทะเบียน ที่เฉลี่ยปีละ 15-20% หากเติบโตในลักษณะนี้ต่อเนื่องได้อีกช่วง 2 ปีข้างหน้า โอกาสที่จะได้เห็นดัชนีหุ้นไทยกลับไปที่ระดับสูงสุดเดิมที่ 1,700 จุดก็มี แต่ถ้าจะไปถึงในปีเดียวค่อนข้างยาก"
อย่างไรก็ตาม ในปีหน้าเชื่อว่ายุโรปจะมีความน่าสนใจต่อการลงทุนเพิ่มขึ้น เพราะที่ผ่านมาในช่วง 1-2 ปี ได้อยู่ในจุดที่แย่แล้ว และคาดว่าปีหน้าจะไม่มีอะไรที่แย่ลงไปกว่านี้ เพราะในขณะนี้จะเห็นได้ว่ายุโรปเองเริ่มมีการพลิกฟื้นกลับขึ้นมาดีเป็นลำดับเมื่อเทียบกับสหรัฐอเมริกาและหุ้นยุโรปเองในขณะนี้ก็มีราคาที่ถูกด้วย
"ลงทุนในตลาดหุ้นไทยในปีนี้อาจมีความผันผวนอยู่ที่ 50-100 จุด ตามสภาพคล่องในประเทศและทั่วโลก แต่นักลงทุนต่างประเทศยังมีมุมมองเชิงบวกต่อตลาดหุ้นไทย ทำให้นักลงทุนต่างชาติมีความสนใจในตลาดหุ้นไทยและบริษัทจดทะเบียนมากขึ้น เนื่องจากยังมีแนวโน้มเติบโตที่ดี"
ทั้งนี้จะเห็นได้ว่าในช่วงเดือนมีนาคม ที่ผ่านมา SET Index ปิดปรับตัวเพิ่มขึ้น 59.57 จุด หรือ6.03% มาอยู่ที่ 1,047.48 จุด SET Index มีการปรับตัวทิศทางขาขึ้นตลอดทั้งเดือน หลังจากที่มีแรงขายอย่างหนักในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ โดยนักลงทุนยังเน้นลงทุนในกลุ่มธนาคารและกลุ่มพลังงานที่เป็นหุ้นกลุ่มใหญ่
ด้านปัจจัยในประเทศ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติให้ขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีก 0.25% เป็น 2.50% เพื่อสกัดกั้นแรงกดดันจากอัตราเงินเฟ้อ ในส่วนทางด้านการเมือง ที่ประกาศจะยุบสภา ภายในสัปดาห์แรกของเดือนพฤษภาคมนี้ หลังมีการแก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ 3 ฉบับเพื่อรองรับการเลือกตั้ง ตลอดทั้งเดือนมีนาคม ที่ผ่านมา นักลงทุนต่างประเทศเป็นผู้ซื้อสุทธิ 19,537 ล้านบาท และนักลงทุนสถาบันในประเทศเป็นผู้ซื้อสุทธิ 8,856 ล้านบาท พอร์ตโบรกเกอร์เป็นผู้ซื้อสุทธิ 3,679 ล้านบาท ส่วนนักลงทุนรายย่อยเป็นผู้ขายสุทธิ 32,072 ล้านบาท
“สำหรับทิศทางของตลาดหุ้นไทย ยังได้ประโยชน์จากที่สภาพคล่องในระบบการเงินที่ยังอยู่ในระดับสูง ในขณะที่เศรษฐกิจไทยและผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนยังมีการเติบโตที่ดี และเงินทุนของนักลงทุนต่างชาติที่เริ่มหันหลับมาลงทุนในตลาดหุ้นเอเชีย อย่างไรก็ตาม ตลาดมีโอกาสผันผวนจากปัจจัยเสี่ยงภายนอกประเทศ เช่น ปัญหาการประท้วงในแถบตะวันออกกลาง-อาฟริกาตอนเหนือ เพราะจะทำให้ราคาน้ำมันปรับตัวขึ้น ความกังวลถึงเศรษฐกิจญี่ปุ่น ซึ่งธนาคารโลกระบุว่า อาจเสียหายจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวและสึนามิถึง 235,000 ล้านดอลลาร์ คิดเป็น 4.0% ของ GDP ส่งผลต่ออัตราการเติบโตของเศรษฐกิจโลกที่อาจชะลอลงได้ และปัญหาหนี้สาธารณะของกลุ่มประเทศ PIIGS ในยุโรป เป็นต้น”
ด้านพิชา รัตนธรรม หัวหน้าสายธุรกิจธนบดี ธนาคารทิสโก้ จำกัด (มหาชน) บอกว่า ภาวะตลาดหุ้นไทย คาดเป้าหมายดัชนีฯ ในปี 2011 ไว้ที่ 1,200 จุด โดยในช่วงเดือนเมษายนนี้ เป็นโอกาสในการสะสมหุ้นไทย เนื่องจากมีปัจจัยสนับสนุนคือ เม็ดเงินทุนที่ไหลเข้าเนื่องจากนักลงทุนต่างชาติเริ่มกลับเข้ามาลงทุน ประกอบกับความเสี่ยงขาลงของตลาดหุ้นไทย อยู่ในกรอบจำกัด เนื่องจากในช่วง 1-2 เดือนที่ผ่านมา มีปัจจัยไม่คาดคิดเข้ามากระทบ เช่น ความไม่สงบในแอฟริกาเหนือ และแผ่นดินไหวในญี่ปุ่น แต่ตลาดหุ้นไทยปรับลดเพียงเล็กน้อยเท่านั้น นอกจากนี้ ยังมีความเป็นไปได้สูงที่รัฐบาลจะยุบสภาในสัปดาห์แรกของเดือนพฤษภาคม นี้ และเลือกตั้งในช่วงเดือนมิถุนายน - กรกฎาคม ซึ่งจากข้อมูลในอดีต การประกาศยุบสภาซึ่งเป็นไปตามที่นักลงทุนคาดการณ์ไว้ก่อนแล้วมักจะไม่กระทบต่อดัชนีฯ
“แนวโน้มการลงทุนในตลาดหุ้นไทยยังสามารถลงทุนได้เนื่องจากดัชนีจะยังสามารถปรับตัวขึ้นได้ต่อโดยปีนี้คาดว่าดัชนีจะอยู่ที่ที่ 1,200 จุดP/E 12 เท่า แม้ราคาหุ้นจะแพงกว่าตลาดหุ้นจีน แต่ยังมี Upside อีก 10-15%”