บลจ.ทิสโก้ คาดเศรษฐกิจจีนโตหนุนตลาดหุ้นให้ผลตอบแทนดีสุดในแถบเอเชีย ระบุหุ้นจีนยังราคาถูก แถมแนวโน้มกำไรสูงถึงกว่า 18% พร้อมคาดอาจเห็นธนาคารกลางจีนขึ้นดอกเบี้ยอีก 1% และคงมาตรการเข้มงวดทางการเงินต่อไป
รายงานจากบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) ทิสโก้ จำกัด เปิดเผยว่า แนวโน้มการขยายตัวของเศรษฐกิจประเทศจีนในปีหน้าคาดว่าจะมี การขยายตัวเติบโตเพิ่มขึ้น 9 - 10% โดยคาดการณ์ว่าอัตราเงินเฟ้อจะยังคงเป็นตัวกดดันตลาดหุ้นในช่วงครึ่งปีแรก และจะเห็นตัวเลขอัตราเงินเฟ้อปรับขึ้นไปสูงที่สุดในช่วงไตรมาส 2 ของปี ส่งผลให้รัฐบาลกลางจีนจะยังคงใช้มาตรการทางการเงินที่เข้มงวดต่อไป โดยอาจจะเห็นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงขึ้นอีก 1% และคาดว่าจะมีการปรับขึ้น RRR อีก 2 - 3 ครั้ง ภายในปี 2011
อย่างไรก็ตาม ทิสโก้ยังคงมีมุมมองเชิงบวกกับตลาดหุ้นจีน แม้ว่าตลาดอาจจะมีการปรับตัวขึ้นน้อยกว่าประเทศในภูมิภาคเอเชียส่วนใหญ่ในช่วงครึ่งปีแรก แต่เชื่อว่าจะไม่เห็นการปรับตัวลงแรงเช่นเดียวกับในช่วงไตรมาส 4/2010 เนื่องจากตลาดได้มีการสะท้อนความกังวลเกี่ยวกับอัตราเงินเฟ้อไปบางส่วนแล้ว โดยหลังจากที่อัตราเงินเฟ้อได้ผ่านจุดสูงสุดแล้ว เชื่อว่าตลาดหุ้นจีนจะกลับมาให้ผลตอบแทนทั้งปีที่ดีกว่าประเทศส่วนใหญ่ในเอเชีย เนื่องจากปัจจัยพื้นฐานหลักที่จะเป็นตัวขับเคลื่อนตลาดหุ้นคือ มูลค่าที่เหมาะสม, การเติบโตของกำไร และสภาพคล่องในระบบ ซึ่งตลาดหุ้นจีนมีปัจจัยดังกล่าวครบทุกด้าน ดังนี้
1. หุ้นส่วนใหญ่ในตลาดหุ้นจีนยังคงมีมูลค่าต่ำมากเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นทั่วโลกและเมื่อเทียบกับในอดีต เชื่อว่าหลังจากปัญหาเงินเฟ้อได้รับการแก้ไข ตลาดหุ้นจีนจะปรับขึ้นไปสู่ระดับเดิมเหมือนในอดีตได้
2. ตลาดหุ้นจีนมีแนวโน้มการเติบโตของกำไร (EPS2011 Growth) สูงถึง 18% และมีความเสี่ยงที่กำไรจะออกมาต่ำกว่าตลาดคาดน้อย
3. แม้ว่าธนาคารกลางแสดงทิศทางชัดเจนว่าจะมีการควบคุมสภาพคล่องในระบบ ทิสโก้ยังคงมองว่าสภาพคล่องส่วนเกินจะยังมากพอที่จะเป็นตัวขับเคลื่อนตลาดหุ้น รวมถึงค่าเงินหยวนที่มีทิศทางแข็งค่าขึ้นนั้น จะเป็นตัวดึงดูดเม็ดเงินใหม่ของต่างชาติให้กลับเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นจีน โดยเฉพาะ H-Share ที่ไม่มีข้อจำกัดในการลงทุนของนักลงทุนต่างประเทศ
ส่วนภาวะตลาดหุ้นจีน(Hang Seng China Enterprises Index: HSCEI) ในปีที่ผ่านมา(2010) ตลาดหุ้นจีนให้ผลตอบแทน 0.4% ต่ำกว่าตลาดหุ้นส่วนใหญ่ในภูมิภาคเอเชีย เหตุผลหลักสืบเนื่องมาจาก ความกังวลของนักลงทุนเกี่ยวกับการที่ภาครัฐบาลประกาศใช้นโยบายการเงินแบบเข้มงวด เพื่อควบคุมความร้อนแรงทางเศรษฐกิจ และอัตราเงินเฟ้อภายในประเทศ
ทั้งนี้ รัฐบาลจีนได้ประกาศขึ้น Reserve Requirement Ratio (RRR) เป็น 18.5% และปรับอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงขึ้นถึง 2 ครั้ง ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ และเงินฝาก 1 ปีอ้างอิงเท่ากับ 5.81% และ 2.75% ตามลำดับ ซึ่งช่วงเวลาของการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยดังกล่าว ค่อนข้างเร็วกว่าความคาดหมายของนักลงทุนโดยนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ มองว่าการตัดสินใจของธนาคารกลาง (Public Bank of China) ดังกล่าวมีสาเหตุหลักมาจากตัวเลขเงินเฟ้อเดือนพฤศจิกายนที่สูงถึง 5.5% เทียบกับปีก่อนหน้า
รายงานจากบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) ทิสโก้ จำกัด เปิดเผยว่า แนวโน้มการขยายตัวของเศรษฐกิจประเทศจีนในปีหน้าคาดว่าจะมี การขยายตัวเติบโตเพิ่มขึ้น 9 - 10% โดยคาดการณ์ว่าอัตราเงินเฟ้อจะยังคงเป็นตัวกดดันตลาดหุ้นในช่วงครึ่งปีแรก และจะเห็นตัวเลขอัตราเงินเฟ้อปรับขึ้นไปสูงที่สุดในช่วงไตรมาส 2 ของปี ส่งผลให้รัฐบาลกลางจีนจะยังคงใช้มาตรการทางการเงินที่เข้มงวดต่อไป โดยอาจจะเห็นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงขึ้นอีก 1% และคาดว่าจะมีการปรับขึ้น RRR อีก 2 - 3 ครั้ง ภายในปี 2011
อย่างไรก็ตาม ทิสโก้ยังคงมีมุมมองเชิงบวกกับตลาดหุ้นจีน แม้ว่าตลาดอาจจะมีการปรับตัวขึ้นน้อยกว่าประเทศในภูมิภาคเอเชียส่วนใหญ่ในช่วงครึ่งปีแรก แต่เชื่อว่าจะไม่เห็นการปรับตัวลงแรงเช่นเดียวกับในช่วงไตรมาส 4/2010 เนื่องจากตลาดได้มีการสะท้อนความกังวลเกี่ยวกับอัตราเงินเฟ้อไปบางส่วนแล้ว โดยหลังจากที่อัตราเงินเฟ้อได้ผ่านจุดสูงสุดแล้ว เชื่อว่าตลาดหุ้นจีนจะกลับมาให้ผลตอบแทนทั้งปีที่ดีกว่าประเทศส่วนใหญ่ในเอเชีย เนื่องจากปัจจัยพื้นฐานหลักที่จะเป็นตัวขับเคลื่อนตลาดหุ้นคือ มูลค่าที่เหมาะสม, การเติบโตของกำไร และสภาพคล่องในระบบ ซึ่งตลาดหุ้นจีนมีปัจจัยดังกล่าวครบทุกด้าน ดังนี้
1. หุ้นส่วนใหญ่ในตลาดหุ้นจีนยังคงมีมูลค่าต่ำมากเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นทั่วโลกและเมื่อเทียบกับในอดีต เชื่อว่าหลังจากปัญหาเงินเฟ้อได้รับการแก้ไข ตลาดหุ้นจีนจะปรับขึ้นไปสู่ระดับเดิมเหมือนในอดีตได้
2. ตลาดหุ้นจีนมีแนวโน้มการเติบโตของกำไร (EPS2011 Growth) สูงถึง 18% และมีความเสี่ยงที่กำไรจะออกมาต่ำกว่าตลาดคาดน้อย
3. แม้ว่าธนาคารกลางแสดงทิศทางชัดเจนว่าจะมีการควบคุมสภาพคล่องในระบบ ทิสโก้ยังคงมองว่าสภาพคล่องส่วนเกินจะยังมากพอที่จะเป็นตัวขับเคลื่อนตลาดหุ้น รวมถึงค่าเงินหยวนที่มีทิศทางแข็งค่าขึ้นนั้น จะเป็นตัวดึงดูดเม็ดเงินใหม่ของต่างชาติให้กลับเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นจีน โดยเฉพาะ H-Share ที่ไม่มีข้อจำกัดในการลงทุนของนักลงทุนต่างประเทศ
ส่วนภาวะตลาดหุ้นจีน(Hang Seng China Enterprises Index: HSCEI) ในปีที่ผ่านมา(2010) ตลาดหุ้นจีนให้ผลตอบแทน 0.4% ต่ำกว่าตลาดหุ้นส่วนใหญ่ในภูมิภาคเอเชีย เหตุผลหลักสืบเนื่องมาจาก ความกังวลของนักลงทุนเกี่ยวกับการที่ภาครัฐบาลประกาศใช้นโยบายการเงินแบบเข้มงวด เพื่อควบคุมความร้อนแรงทางเศรษฐกิจ และอัตราเงินเฟ้อภายในประเทศ
ทั้งนี้ รัฐบาลจีนได้ประกาศขึ้น Reserve Requirement Ratio (RRR) เป็น 18.5% และปรับอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงขึ้นถึง 2 ครั้ง ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ และเงินฝาก 1 ปีอ้างอิงเท่ากับ 5.81% และ 2.75% ตามลำดับ ซึ่งช่วงเวลาของการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยดังกล่าว ค่อนข้างเร็วกว่าความคาดหมายของนักลงทุนโดยนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ มองว่าการตัดสินใจของธนาคารกลาง (Public Bank of China) ดังกล่าวมีสาเหตุหลักมาจากตัวเลขเงินเฟ้อเดือนพฤศจิกายนที่สูงถึง 5.5% เทียบกับปีก่อนหน้า