xs
xsm
sm
md
lg

แนะสมสมหุ้นจีนช่วงราคาถูก ทิสโก้มั่นใจเศรษฐกิจช่วยหนุนv

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

สาห์รัช ชัฎสุวรรณ
ทิสโก้ชี้จังหวะเหมาะสะสมหุ้นจีน หลังราคาปรับตัวลงอีก มั่นใจเศรษฐกิจแข็งแกร่งช่วยหนุน เหตุแนวโน้มการเติบโตยังสูง จากการบริโภคภายในและกำลังซื้อจากกลุ่มคนรายได้ปานกลาง พร้อมฟันธงปันหาเงินเฟ้อน่าจบช่วงครึ่งหลังปีนี้ หลังเห็นสัญญาณสินค้าเกษตรจะเริ่มเข้าสู่ตลาดมากขึ้น

นายสาห์รัช ชัฎสุวรรณ หัวหน้าฝ่ายการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) ทิสโก้ จำกัด เปิดเผยว่า การลงทุนที่น่าสนใจมากที่สุดขณะนี้ คือ การลงทุนในตลาดหุ้นจีน ด้วยการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่คาดว่าจะสูงถึง 8-10% อีกทั้งราคาหุ้นของจีนที่จดทะเบียนในตลาดฮ่องกง ได้มีการปรับตัวลดลงมาพอสมควร โดย PE ปัจจุบันอยู่ที่ 10.2 เท่า และในปี 2012 จะลดลงเหลือ 8.8 เท่า (ตามข้อมูลของ Bloomberg Consensus) จากการที่นักลงทุนมีความกังวลว่าเศรษฐกิจของจีนมีการเติบโตที่ร้อนแรงเกินไป รวมไปถึงความกังวลว่าจะเกิดภาวะฟองสบู่ในธุรกิจภาคอสังหาริมทรัพย์ และปัญหาเงินเฟ้อ

อย่างไรก็ตามด้วยนโยบายของทางการจีนที่ต้องการลดความร้อนแรงดังกล่าวลง เห็นได้จากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาเป็นผลให้การขยายตัวทางเศรษฐกิจของจีนเริ่มอ่อนตัวลงมาบ้าง และทำให้นักลงทุนคลายกังวลได้มากขึ้น

ส่วนความกังวลเรื่องเงินเฟ้อในจีนนั้น ซึ่งเป็นผลมาจากราคาสินค้าเกษตรปรับตัวสูงขึ้นมาตั้งแต่ช่วงกลางปี 2010 นั้น บลจ.ทิสโก้ มองว่าภาวะดังกล่าวใกล้จะหลุดจากจุดสูงสุดแล้ว และจะเริ่มเข้าสู่ภาวะราคาถดถอยแทน ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติ เนื่องจากในช่วงที่ราคาขึ้นไปสูง ทำให้การเพาะปลูกเพิ่มขึ้น และเมื่อสินค้าในตลาดมีเพิ่มขึ้นราคาก็ย่อมจะปรับลดลงมา

ทั้งนี้นักวิเคราะห์หลายสำนักมองว่าในช่วงครึ่งหลังของปีหน้า ราคาสินค้าเกษตรจะมีอ่อนตัวลงแรง ทำให้ความกังวลด้านอัตราเงินเฟ้อก็น่าจะผ่อนคลายลง ดังนั้นในช่วงนี้จึงเป็นจังหวะเหมาะที่จะทยอยสะสมหุ้นของจีน โดยเฉพาะหุ้นจีนที่จดทะเบียนในตลาดฮ่องกง

โดยกองทุนน่าจะสามารถตอบสนองความต้องการลงทุนในหุ้นจีน ที่บริษัทมี ประกอบด้วย “กองทุนเปิด ทิสโก้ ไซน่า H-Shares อิควิตี้ (TISCO China H-Shares Equity Fund)” ที่สามารถซื้อขายได้ทุกวันทำการ โดยเน้นลงทุนในบริษัทชั้นนำของประเทศจีนที่จดทะเบียนซื้อขายในตลาดหุ้นฮ่องกง ซึ่งจะลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุน Lyxor ETF China Enterprise (HSCEI) ซึ่งเป็นกองอีทีเอฟที่มีวัตถุประสงค์สร้างผลตอบแทนให้ใกล้เคียงกับผลตอบแทนของดัชนี Hang Seng China Enterprises และ “กองทุนเปิด ทิสโก้ เกรทเทอร์ ไชน่า ทริกเกอร์ 15% (TISCO Greater China Trigger 15% Fund)” กอง FIF ที่มีนโยบายลงทุนใน ETF ที่ซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ ฮ่องกง/สิงคโปร์ โดยมีนโยบายลงทุนให้ได้รับผลตอบแทนใกล้เคียงกับดัชนีหุ้นของ 3 ประเทศ ได้แก่ จีน ฮ่องกง และไต้หวัน โดยมีดัชนีชี้วัดคือ ค่าเฉลี่ยระหว่าง Hang Seng China Enterprise Index, Hang Seng Index และ Taiwan TAIEX Index ในอัตราส่วนที่เท่ากัน ซึ่งได้คำนวณให้อยู่ในรูปเงินสกุลบาทแล้ว เพื่อเป็นอีกทางเลือกให้กับนักลงทุนที่ต้องการกระจายความเสี่ยงไปยังการลงทุนในต่างประเทศ โดยตั้งเป้าหมายทำกำไรไว้ที่ 15% ภายในระยะเวลา 1 ปี หรือสามารถเลิกกองคืนเงินผู้ถือหน่วยลงทุนได้ก่อนครบกำหนดอายุโครงการ เมื่อสามารถสร้างผลตอบแทนได้ถึง 15% โดยกำลังอยู่ในระหว่างไอพีโอถึงวันที่ 2 มี.ค. 54 นี้

นอกจากนี้ นายสาห์รัช กล่าวต่อว่า ปัจจัยบวกอีกอย่างในการลงทุนในตลาดหุ้นจีนคือ แนวโน้มเศรษฐกิจที่มองว่าการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกในปีนี้จะยังมีการขยายตัวที่แข็งแกร่ง หรืออยู่ที่ระดับ 4-5% โดยแรงขับเคลื่อนหลักจะนำโดยภูมิภาคเอเชีย ซึ่งมีการขยายตัวทางเศรษฐกิจสูงถึง 7-8% โดยการขยายตัวทางเศรษฐกิจของภูมิภาคเอเชียที่สามารถขยายตัวได้ดี เป็นเพราะประเทศส่วนใหญ่ในภูมิภาคมีการบริโภคภาคเอกชน (Private Consumption) ที่แข็งแกร่ง เนื่องจากการเป็นประเทศกำลังพัฒนาทำให้มีคนชนชั้นกลางมากขึ้น ดังนั้นรูปแบบของการบริโภคหรือการใช้ชีวิตประจำวันก็จะมีการเปลี่ยนแปลง การจับจ่ายใช้สอยก็จะมีปริมาณที่มากขึ้น อีกทั้งประชากรในภูมิภาคนี้ยังมีจำนวนที่สูงมาก โดยเฉพาะประเทศจีนและอินเดีย

“ความน่าสนใจการลงทุนในเอเชีย อยูที่การมีปัจจัยพื้นฐานทางด้านเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง และแม้ว่าตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาจะมีแรงเทขายหุ้นเอเชียของต่างชาติค่อนข้างมาก ก็ไม่ได้เป็นปัจจัยที่น่ากังวล เนื่องจากเหตุการณ์ดังกล่าวถือเป็นการปรับพอร์ตการลงทุนชั่วคราวไปยังตลาดสหรัฐและยุโรปที่มีการลงทุนต่ำกว่าเกณฑ์ในช่วงปีที่ผ่านมา โดยคาดหมายว่าเศรษฐกิจทางสหรัฐและยุโรปจะเริ่มฟื้นตัวได้ในปีนี้ ประกอบกับความกังวลต่อเงินเฟ้อซึ่งจะอาจจะส่งผลกระทบต่อตลาดเกิดใหม่รวมถึงภูมิภาคเอเชียแต่ขณะนี้ PE ของสหรัฐฯและยุโรปเริ่มสูงขึ้น หรืออยู่ที่ 13.5 เท่า ตามภาวะเศรษฐกิจที่ฟื้นตัว ซึ่งปัจจุบันถือว่าแพงกว่า PE ของฝั่งเอเชียซึ่งอยู่ที่ 12.5 เท่าแล้ว ขณะที่ระดับราคาสินค้าโภคภัณฑ์ โดยเฉพาะราคาสินค้าเกษตรคาดว่าจะทยอยอ่อนตัวในช่วงครึ่งปีหลัง ส่งผลให้ความกังวลต่อเงินเฟ้อจะเริ่มคลี่คลายลงได้ ทำให้เชื่อว่าการปรับพอร์ตของนักลงทุนจะใกล้จบแล้ว และจะหันการลงทุนมาที่เอเชียอีกครั้ง”
กำลังโหลดความคิดเห็น