Pimco" ห่วง 3 ความเสี่ยงกระทบการลงทุนโลก ทั้งการเมืองในตะวันออกกลาง ปัญหาหนี้ยุโรป และนิวเคลียร์ญี่ปุ่น ชี้แม้โอกาสเกิดน้อย แต่หากเป็นปัญหา ส่งผลกระทบรุนแรงแน่นอน
มร.ไบรอัน พี เบเกอร์ Chief Executive Officer & Director, Pimco Asia Limited เปิดเผยว่า ความเสี่ยงที่สำคัญของโลกซึ่งจะมีผลต่อการลงทุนในตลาดตราสารหนี้มีด้วยกัน 3 เรื่อง ประกอบด้วย การเติบโตที่แตกต่างกันชัดเจนระหว่างกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วและกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา โดยประเทศพัฒนาแล้วจะมีการเติบโตทางเศรษฐกิจเฉลี่ยประมาณ 2% ในขณะที่ประเทศกำลังพัฒนาประมาณ 7 - 8% ในขณะที่เงินเฟ้อในประเทศพัฒนาแล้วจะค่อนข้างต่ำประมาณ 0 - 1% แต่เงินเฟ้อในประเทศกำลังพัฒนาซึ่งสูงเฉลี่ยประมาณ 4 - 6% นั่น ทำให้การใช้นโยบายการเงินในกลุ่มประเทศทั้ง 2 แตกต่างกันด้วย ในขณะเดียวกัน กลุ่มประเทศพัฒนาแล้วใช้นโยบายอัตราดอกเบี้ยต่ำแต่กลุ่มประเทศกำลังพัฒนากำลังอยู่ในช่วงดอกเบี้ยขาขึ้น ซึ่งความแตกต่างนี้อาจจะนำมาซึ่งการกีดกันทางการค้าในรูปแบบต่างๆ ของกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วที่จะมีมากขึ้นในอนาคตด้วยเช่นกัน
ปัจจัยที่สองคือ เงินเฟ้อที่กำลังเร่งตัวสูงขึ้น และปัจจัยที่สามคือ โอกาสในการเกิดความเสี่ยงแบบ Tail Risk ที่มีโอกาสขึ้นไม่มากแต่ถ้าเกิดขึ้นก็จะเป็นปัญหามากซึ่งต้องติดตามอย่างใกล้ชิด โดยความเสี่ยงดังกล่าวประกอบด้วย ปัญหาทางการเมืองในตะวันออกกลาง ปัญหาหนี้ในยุโรป และปัญหานิวเคลียร์ในญี่ปุ่น
มร.ไบรอันกล่าวว่า ในส่วนของปัญหาทางการเมืองในตะวันออกกลางนั้น ถ้าปัญหาเช่นในลิเบียลามไปถึงซาอุดิอารเบียและอิหร่านจะส่งผลให้ราคาน้ำมันโลกสูงขึ้นได้และจะมีผลกระทบต่ออัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของตลาดเกิดใหม่ในเอเชียมากกว่าภูมิภาคอื่น ในส่วนของปัญหาหนี้ในยุโรปเอง ก็คาดว่าประเทศเล็กอาจจะต้องเสียสละเพื่อรักษาประเทศใหญ่เอาไว้ ดังนั้น จึงมีความเป็นไปได้ที่หนี้ของประเทศเล็ก เช่น โปรตุเกส ไอร์แลนด์ และกรีซอาจจะไม่สามารถชำระหนี้ได้และเข้าสู่กระบวนการปรับลดหนี้กับทางเจ้าหนี้ซึ่งส่วนใหญ่เป็นธนาคารในยุโรปเองและนั่นอาจจะทำให้ต้องมีการอัดฉีดเม็ดเงินเข้ามาในระบบเป็นจำนวนมากเพราะหากมีการปรับลดหนี้จริงจะส่งผลกระทบต่อสถานะของธนาคารเจ้าหนี้ในยุโรปแน่นอน
ส่วนปัญหานิวเคลียร์ในญี่ปุ่นยังต้องติดตามต่อไป แต่การฟื้นฟูประเทศจะทำให้มีความต้องการในสินค้าโภคภัณฑ์ (คอมมอดิตี้) ที่เกี่ยวกับการก่อสร้างจำนวนมหาศาลและการแก้ไขปัญหาไฟฟ้าที่หายไปประมาณ 20% จะยังคงมีให้เห็นต่อเนื่องไปจนถึงสิ้นปี54 นี้
นอกจากนี้ มร.ไบรอัน ยังกล่าวถึงพอร์ตการลงทุนของกองทุน Pimco Total Return Bond Fund ซึ่งบริหารโดย Pimco ว่า กองทุนดังกล่าวมีอัตราผลตอบแทนจากตราสารหนี้ประมาณ 3.16% มีคุณภาพตราสารหนี้เฉลี่ย AA- มีอายุเฉลี่ยของตราสารหนี้ที่ลงทุน 3.59 ปี โดยกองทุนได้มีการกระจายการลงทุนในไปในตราสารหนี้ตลาดเกิดใหม่เพิ่มขึ้นประมาณ 10% โดยเน้นในส่วนของพันธบัตรรัฐบาลและหุ้นกู้ อีกประมาณ 10% ในตราสารหนี้ตลาดพัฒนาแล้วที่ไม่ใช่สหรัฐ และอีก 10% ลงทุนในหุ้นกู้ของบริษัทข้ามชาติในสกุลเงินยูโร ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งโอกาสในการลงทุนเพราะบริษัทเหล่านี้เคยมีอันดับเครดิตที่ดีแต่เมื่อเกิดปัญหาวิกฤติขึ้นก็ถูกปรับลดอันดับเครดิตลงมา (Down Grade) ซึ่งด้วยตัวธุรกิจเองยังมีศักยภาพในการเติบโตและทำกำไรอยู่ในอนาคตจึงมีแนวโน้มที่จะได้รับการปรับอันดับเครดิตขึ้นได้เช่นกัน
ในส่วนของตราสารหนี้ที่ลงทุนในสหรัฐเองก็มีการขายตราสารหนี้ออกมา รวมทั้งหันไปลงทุนในตราสารหนี้ที่คล้ายเงินสดมากขึ้น (Net Cash Equivalents) เพื่อลดผลกระทบจากแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นและยังคงได้รับผลตอบแทนจากดอกเบี้ยอยู่
“เรามองว่ารัฐบาลสหรัฐไม่น่าจะมีการต่อมาตรการ QE-3 ต่อไป ดังนั้นเมื่อมาตรการ QE-2 ที่กำลังจะหมดลงในเดือนมิ.ย.54 นี้แล้ว หลังจากนั้นจะมีคำถามว่า ตราสารหนี้ของสหรัฐใครจะมาเป็นคนซื้อ เพราะปัจจุบัน 70 - 80% ของการซื้อพันธบัตรสหรัฐเป็นการเข้ามาซื้อของทางการเป็นหลัก พันธบัตรอายุ 10 ปี ผลตอบแทน 3.4% ก็คงไม่ง่ายที่จะหาคนมาลงทุน ซึ่งปัจจัยนี่เอง จะเป็นปัจจัยที่ผลักดันให้ผลตอบแทนในตลาดตราสารหนี้สหรัฐมีแนวโน้มที่จะปรับตัวขึ้นได้ในอนาคต”มร.ไบรอัน กล่าว