xs
xsm
sm
md
lg

ถือบอนด์สั้น รอกนง.ขึ้นดอกเบี้ย

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


โดยกมลทิพย์ หิรัญประเสริฐสุข
yokkamonthip@gmail.com

ในวันพุธที่ 9 มีนาคม ที่จะถึงนี้หลายคนมองว่า คณะกรรมการนโยบายการเงิน หรือ กนง. อาจจะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ประมาณ 0.50% ซึ่ง ณ ปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ 2.25% หากมีการขึ้นดอกเบี้ยอีกครั้งก็จะไต่ระดับมาอยู่ที่ 2.75% เนื่องจากปัญหาเงินเฟ้อที่เร่งตัวมาจากราคาน้ำมันในตลาดโลก บวกกับปัญหาราคาอาหารและราคาสินค้าที่พุ่งสูงขึ้น รวมถึงนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลบางนโยบายก็เป็นอีกหนึ่งตัวแปรที่ส่งผลให้เงินเฟ้อปรับตัวขึ้นอีกด้วย

อย่างไรก็ตามหลังจากที่กนง.มีการปรับขึ้นดอกเบี้ย ต้องยอมรับว่าเงินทุนจำนวนมากหลั่งไหลไปยังตลาดตราสารหนี้จำนวนมา ขณะที่หุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ก็ได้รับความสนใจจากนักลงทุนมากขึ้นอีกด้วย
 

ทั้งนี้การขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งนี้จะส่งผลให้อัตราผลตอบแทนของตราสารหนี้ระยะสั้นปรับตัวเพิ่มขึ้น ซึ่งนักลงทุนควรหันมาลงทุนในกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้น หรือลงทุนในพันธบัตรระยะสั้น เพื่อลดความเสี่ยง ช่วงก่อนการประชุม กนง. นอกจากนี้นักลงทุนไม่ควรล็อกการลงทุนตราสารหนี้ระยะยาว เกิน 3-6 เดือนอีกด้วย

ภาพรวมอัตราดอกเบี้ยทั้งปี54

เวลเลียน วิรานโต นักเศรษฐศาสตร์ ประจำภูมิภาคเอเชียธนาคาร เอชเอสบีซี ประเทศไทย (HSBC) มองว่า การประชุม กนง.ในปี 2554 ธปท.จะมีการพิจารณาปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายขึ้นอีก 3 ครั้ง จนสิ้นปีนี้อัตราดอกเบี้ยนโยบายจะอยู่ที่ระดับ 3% ซึ่งถือว่าเป็นอัตราที่เหมาะสมในการดูแลความเสี่ยงจากปัญหาเงินเฟ้อและการควบคุมราคาสินค้า ทั้งนี้การปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยจะปรับแบบค่อยเป็นค่อยไป เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในภาพรวม

ขณะที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า อัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยอาจขยับขึ้นไปที่ร้อยละ 3.25 ภายในสิ้นปี 2554 หากความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจไทยในระยะข้างหน้าอยู่ในระดับที่ยอมรับได้

แนะลงทุนบอนด์ระยะสั้น

มนรัฐ แมนผดุง กรรมการผู้จัดการ บลจ. วรรณ จำกัด กล่าวว่า แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยอยู่ในช่วงขาขึ้นเช่นนี้ การลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้นกลับมาได้รับความสนใจอีกครั้งโดยเฉพาะกองทุนตราสารหนี้ประเภท 3-6 เดือน อย่างไรก็ตามหากนักลงทุนที่พอรับความเสี่้ยงได้อยากแนะนำให้แบ่งเงินไปลงทุนในกองทุนตราสารหนี้ต่างประเทศ เนื่องจากผลตอบแทนค่อนข้างน่าสนใจเมื่อเทียบกับการลงทุนในประเทศ ส่วนการลงทุนในตราสารหนี้ระยะยาวนั้น หากนักลงทุนรู้ว่าอัตราเงินเฟ้อสูงที่สุด ณ ขณะใดขณะหนึ่ง ก็สามารถลงทุนได้เลย

ธีระศันส์ ทุติยะโพธิ ผู้จัดการกองทุนอาวุโส ฝ่ายจัดการลงทุน บลจ. ทหารไทย มองว่า มีแนวโน้มว่าทางแบงก์ชาติจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกประมาณ 0.25% เพื่อให้สอดคล้องกับอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง อีกทั้งเงินเฟ้อในตลาดที่อยู่ในระดับที่สูงขึ้นจึงเชื่อว่าแบงก์ชาติจะมีการขึ้นดอกเบี้ยอีกเพื่อชะลอเงินเฟ้อ โดยทางบลจ.ทหารไทยมองว่า จะเป็นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างรวดเร็วและต่อเนื่องในตลอดช่วงปีนี้ โดยในส่วนของเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้นนั้นเป็นผลมาจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นและอีกส่วนคือราคาอาหารที่เพิ่มขึ้นซึ่งจะส่งผลให้เงินเฟ้อในปีนี้สูงขึ้นได้อีก

โดยการลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้นในช่วง 1-2 เดือนนี้มีความน่าสนใจมาก โดยในส่วนของกองทุนกองทุนเปิดทหารไทยธนรัฐ ที่ลงทุนอยู่ในพันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทยได้เตรียมพอร์ตการลงทุน สำหรับเข้าไปลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลทันทีหากอัตราดอกเบี้ยปรับขึ้น ดังนั้นกองทุนเปิดทหารไทยธนรัฐจึงน่าสนใจมากในระยะนี้ ขณะที่กองทุนตราสารหนี้ที่ยังน่าสนใจก็คือ กองทุนเปิดทหารไทยธนพลัสที่ยังให้ผลตอบแทนดีอย่างสม่ำเสมอ

"แม้อัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มสูงขึ้นนั้นส่งผลดีให้เศรษฐกิจมีการเติบโตขึ้น แต่อาจจะเป็นการเติบโตที่ไม่ยั่งยืนเพราะ ประชาชนมีการใช้จ่ายมากขึ้นตามไปด้วยในช่วงที่ทิศทางของดอกเบี้ยเป็นขาขึ้นนั้น กองทุนตราสารหนี้ที่น่าลงทุนคือกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้นที่สามารถให้ผลตอบแทนได้ในระดับประมาณ 3% ขณะที่ตราสารหนี้ระยะยาวยังไม่น่าลงทุน" ธีระศันส์กล่าว

เลือกGlobal Bondกระจายความเสี่ยง

สานุพงศ์ สุทัศน์ธรรมกุล Fund SuperMart Analyst บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การลงทุนนี้นั้นเรายังแนะนำตลาดเกิดใหม่เช่นเดิม โดยกองทุนตราสารหนี้ต่างประเทศแนะนำเป็น GlobalBond ของ บลจ.ทหารไทย และ บลจ.ธนชาต โดยการลงทุนของกองทุนหลักจะเน้นลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลของประเทศที่มีเศรษฐกิจแข็งแกร่ง เช่นประเทศกลุ่มตลาดเกิดใหม่และประเทศพัฒนาแล้วบางประเทศที่มีความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจ และค่าเงินของประเทศกลุ่มนี้มีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับดอลล่าร์สหรัฐ รวมถึงโอกาสที่จะได้เห็นการปรับขึ้น credit rating ด้วยเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม นักลงทุนอาจยังกังวลและไม่มั่นใจในการลงทุนกองทุนตราสารหนี้ เนื่องจากแนวโน้มการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของประเทศใน Emerging Market และประเทฟฟศที่มีเศรษฐกิจแข็งแกร่งเพื่อควบคุมภาวะเงิน เฟ้อและการปรับสมดุลนโยบายการเงินของประเทศตลาดเกิดใหม่ รวมถึงคาดการณ์การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐในอนาคตอันใกล้ แต่เราได้เห็นการวางกลยุทธ์เพื่อลดผลกระทบตรงจุดนี้แล้วเช่น การลด Duration ของพอร์ตลง (เหลือ 2.5 ปี เทียบกับBenchmark ที่ 6.3 ปี) หรือการวางกลยุทธ์เพื่อ แสวงหาผลตอบแทนในช่วงที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐเป็นขาขึ้นผ่านทางความสัมพันธ์ของอัตราแลกเปลี่ยนระหว่างดอลล่าร์สหรัฐและเยนของญี่ปุ่น

ทั้งนี้ด้วยกลยุทธ์ที่เปิดรับความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนทำให้กองทุนนี้เหมาะกับนักลงทุนที่เข้าใจและรับความผันผวนจากอัตราแลกเปลี่ยนได้ ดังจะเห็นได้จากสถานการณ์ความตึงเครียดบนคาบสมุทรเกาหลีที่ทำให้ค่าเงินวอนเกิดความผันผวนอย่างมาก ส่งผลกระทบต่อNAV ของกองทุน Global Bond Fund เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีกองทุน Global Bond ที่เป็น RMF ของบลจ. ธนชาติ T-Global Bond RMF ซึ่งมีลักษณะคล้ายกองทุน T-Global Bond
กำลังโหลดความคิดเห็น