นักวิเคราะห์กองทุนรวม แนะนักลงทุนทยอยเก็บกองหุ้นEmergingmarket ในระยะยาว มั่นใจเศรษฐกิจยังสดใสกว่าประเทศอื่น พร้อมสะสมทองคำหลังราคาทองยังอยู่ในช่วงขาชึ้น
นายสานุพงศ์ สุทัศน์ธรรมกุล Fund SuperMart Analyst บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บรรยากาศการลงทุนในช่วงต้นปียังคงมีแนวโน้มที่ดีต่อเนื่องจากปลายปี 2553 ที่ผ่านมา โดยภาพเศรษฐกิจสหรัฐแลยุโรปยังคงมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่องเงินเฟ้อของจีนมีแนวโน้มชะลอตัว ระยะสั้นสัปดาห์นี้ตลาดหุ้นทั่วโลกมีแนวโน้มแกว่งตัวขึ้นต่อ แต่ยังคงต้องระมัดระวังปัญหาหนี้ยุโรป การออกมาตรการของจีนเพิ่มเติมและความเปราะบางของเศรษฐกิจโลก ระยะยาวเรายังคงแนะนำให้เน้นกองทุนตลาดเกิดใหม่เป็นหลัก (Emergingmarket fund) ตามเดิม กองทุนหุ้นที่แนะนำได้แก่ ABGEM และ ABAPAC ของบลจ. Aberdeen
ขณะที่กองทุนจีนคาดว่าจะเห็นความผันผวนเพิ่มขึ้นหลังจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยที่เร็วกว่าคาด แต่เรามองว่าเป็นจังหวะที่ดีในการเข้าสะสมกองทุนจีนเพื่อการลงทุนในระยะยาวแนะนำสะสมกองทุนจีน ABCG (Aberdeen China Gateway Fund) เมื่อเห็นรัฐบาลจีนออกมาตรการ โดยกองทุนหุ้นต่างประเทศที่แนะนำไม่ได้มีการป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่น ทำให้อาจมีผลกำไรหรือขาดทุนที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงในค่าเงิน จึงเหมาะกับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนได้ สำหรับกองทุนตราสารหนี้ต่างประเทศยังคงชอบ TMB Global Bond Fund ของบลจ.ทหารไทยตามเดิมเพราะเรายังคงมองแนวโน้มค่าเงินดอลล่าร์สหรัฐฯยังอ่อนตัวและความตึงเครียดบนคาบสมุทรเกาหลีผ่อนคลายในทางที่ดีขึ้น
อย่างไรก็ตามเราแนะนำสะสมเพิ่มเช่นเดียวกับทองคำที่เรายังคงมองราคาทองคำเป็นขาขึ้น กองทุนทองคำที่แนะนำยังคงเป็น K-GOLD ของ บลจ. กสิกรไทย และทางเลือกสำหรับกองทุนทองคำที่ไม่จ่ายปันผล เราแนะนำกองทุนทองคำของบลจ.แอสเซ็ท พลัส ASP-GOLD ซึ่งมีการป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนเช่นเดียวกัน แต่ค่าใช้จ่ายกองทุน (Total Expenses) แพงกว่าเล็กน้อย สำหรับน้ำมัน ราคาน้ำมันในระยะสั้นเรามองว่าปรับตัวขึ้นมาค่อนข้างมากและใกล้กับแนวต้านที่เรามองไว้ที่ 92 US$/bbl เราจึงยังคงคำแนะนำเดิมคือ ขายทำกำไร และสะสมเพิ่มอีกครั้งเมื่อราคาอ่อนตัวสำหรับกองทุนที่แนะนำยังคงเป็นกองทุนน้ำมัน K-OIL ของบลจ.กสิกรไทย ตามเดิม
สำหรับตลาดหุ้นของสหรัฐในสัปดาห์สุดท้ายของปีปรับตัวกรอบแคบตามแรงซื้อขายที่เบาบางก่อนเข้าสู่วันหยุดและปิดบวกได้เล็กน้อยจากกระแสความคาดหวังเชิงบวกเกี่ยวกับการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่ยังคงมีอยู่หลังตัวเลขผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งเเรกลดลงถึง34,000 รายมาอยู่ที่ 388,000 ราย ต่ำสุดในรอบกว่า 2 ปีและดีกว่าที่ตลาดคาดไว้ว่าจะอยู่ที่ 415,000 ขณะที่ยอด Pending Home Sales ในเดือนพย.ก็ปรับตัวเพิ่มขึ้นถึง3.5% ดีกว่าคาดการณ์ของตลาดที่ราว 2.0% ส่วนในยุโรป ตลาดหุ้นหลักปิดลบมากกว่าตลาดในภูมิภาคอื่นๆ ปัจจัยหลักเป็นเรื่องของการขายทำกำไรหลังตลาดหุ้นแตะระดับสูงสุดในรอบกว่า 2 ปีในเดือนธค.53 ประกอบกับปัญหาหนี้ที่ยังเรื้อรังทำให้นักลงทุนส่วนใหญ่เลือกที่จะขายทำกำไรมากกว่าถือข้ามปี
ในส่วนของตลาดหุ้นในเอเชีย นั้นตลาดหลักอย่างจีนปิดปรับตัวดีขึ้นในช่วงท้ายสัปดาห์จากแรงซื้อกลับของนักลงทุน หลังดัชนีแตะระดับต่ำสุดในรอบกว่า 2 เดือนและการคลายกังวลเกี่ยวกับการปรับเพิ่มเพดานกันสำรองของระบบธนาคารเเละอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลาง สำหรับตลาดหุ้นไทยก็เป็นไปตามคาดหมาย กล่าวคือกระเเสเงินลงทุนใน LTF/RMFยังคงช่วยหนุนตลาดได้อย่างต่อเนื่อง ช่วยให้ SETI ทะลุระดับ 1,030 จุดได้อีกครั้งเเละปิดในวันพฤหัสบดีได้ที่ 1,032.76 จุด หรือบวกกว่า1.05% จากสัปดาห์ก่อนหน้า