"อเบอร์ดีน" ชี้ ตลาดหุ้นไทยปี 53 อาจผันผวนจากราคาที่สูง และยังเผชิญกับปัญหาทางการเมือง "แนะ"เลือกลงทุนจากปัจจัยพื้นฐานเป็นสำคัญ ส่วนตลาดตราสารหนี้ไทย ปีนี้เผชิญกับความท้าทาย จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและเรื่องเงินเฟ้อ
นายอดิเทพ วรรณพฤกษ์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ฝ่ายการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) อเบอร์ดีน (ไทย) จำกัด กล่าวว่า ในปีที่ผ่านมาดัชนีหุ้นไทยฟื้นตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่งจากระดับที่ถูกกดดันจากแรงเทขาย ซึ่งนำโดยหุ้นกลุ่มพลังงานและกลุ่มธนาคาร รวมถึงราคาน้ำมันและสินค้าโภคภัณฑ์อื่นๆปรับตัวขึ้นมากกว่าสองเท่าจากระดับราคาต่ำสุด ส่วนอัตราดอกเบี้ยนโยบายยังคงต่ำเป็นประวัติการณ์ ซึ่งช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในการปล่อยกู้
ขณะที่การออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจขนาดใหญ่เพื่อเร่งการเติบโต โดยการเบิกจ่ายงบประมาณจะดำเนินการในช่วงปี 2553 - 2555 ซึ่งจะเป็นตัวช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้ในทางอ้อม โดยการฟื้นตัวของเศรษฐกิจภายในประเทศมีความชัดเจนขึ้นในครึ่งหลังของปี 2552 หลังจากผ่านภาวะอ่อนแอในช่วงครึ่งปีแรก โดยมีแรงหนุนจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก และภาคต่างประเทศของเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและการส่งออก
โดยหุ้นที่อเบอร์ดีนลงทุนมีผลประกอบการทั้งดีและไม่ดี แต่ส่วนใหญ่ดี โดยไม่ถูกกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจ และมีการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญในไตรมาสสามและสี่ของปี 2552
สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นไทยในปี 53 นั้นคาดว่า จะมีความผันผวนและราคาหุ้นไทยในปัจจุบันไม่ถือว่าถูกอีกต่อไป ดังนั้น ควรเลือกลงทุนจากปัจจัยพื้นฐานเป็นสำคัญ ซึ่งมองว่านักลงทุนจะกลับมาให้ความสนใจหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็กมากขึ้น
โดยตลาดหุ้นไทยยังมีความเสี่ยงจากปัญหาการเมือง ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อแผนการใช้จ่ายของภาครัฐเกิดความล่าช้า และอาจถึงขั้นต้องยกเลิก ขณะที่ในช่วงปลายเดือน ก.พ.53 จะมีการตัดสินใจคคดีสำคัญคือ คดียึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งอาจจะมีเหตุการณ์ที่เข้ามากระทบตลาดหุ้นบ้าง
ขณะเดียวกัน ปัญหาเรื่องมาบตาพุดที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข ได้กลายเป็นปัญหาที่สร้างผลกระทบมากกว่าที่คาด อย่างไรก็ตามตลาดหุ้นไทยยังมีปัจจัยบวกอยู่บ้างจากสภาพคล่องที่มีค่อนข้างมาก และการเบิกจ่ายเงินงบประมาณของรัฐบาลจะมีมากขึ้น และรายได้ของบริษัทเอกชนจะมีมากขึ้น ดังนั้น การปรับตัวลดลงมาของดัชนีตลาดหุ้นอาจเป็นโอกาสการลงทุนระยะยาวที่จะเข้ามาซื้อหุ้น
ด้าน นายพงค์ธาริน ทรัพยานนท์ ผู้จัดการกองทุนตราสารหนี้ กล่าวว่า ตลอดปี 2552 ตลาดตราสารหนี้ไทยปรับตัวลดลงเป็นส่วนใหญ่ โดยอัตราผลตอบแทนเฉลี่ยมีส่วนต่างที่ปรับตัวสูงขึ้นประมาณ 0.20% - 1.50% และมูลค่าพันธบัตรระยะยาวปรับตัวต่ำกว่าพันธบัตรระยะสั้น โดยในปีที่ผ่านมามีความกังวลกับเศรษฐกิจของประเทศที่พัฒนาแล้วจึงส่งผลต่อตลาดตราสารหนี้ของไทย
ส่วนแนวโน้มตลาดตราสารหนี้ในปี 2553 นั้น คาดการณ์ว่าสถานการณ์ตลาดตราสารหนี้ไทยจะยังเป็นปีที่ท้าทายโดยการดำเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายจะสิ้นสุดลง เมื่อแนวโน้มของเศรษฐกิจไทยปรับตัวดีขึ้น ประกอบกับความเสี่ยงจากภาวะเงินเฟ้อเพิ่มสูงขึ้นขณะเดียวกัน เส้นแสดงอัตราผลตอบแทนเฉลี่ยของพันธบัตรทุกกลุ่มอายุยังมีรูปแบบตั้งชัน เนื่องจากมีการออกพันธบัตรรัฐบาลในปริมาณมาก เพื่อหาทางชดเชยงบประมาณที่ขาดดุล
นอกจากนี้พอร์ตการลงทุนเน้นลงทุนไปที่ในตราสารหนี้ที่มีอายุเฉลี่ยสั้น รวมไปถึงเรื่องของการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจยังคงมีความเปราะบาง และน่าจะทำให้ธนาคารแห่งประเทศไทยมีข้อจำกัดในการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย
นายอดิเทพ วรรณพฤกษ์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ฝ่ายการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) อเบอร์ดีน (ไทย) จำกัด กล่าวว่า ในปีที่ผ่านมาดัชนีหุ้นไทยฟื้นตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่งจากระดับที่ถูกกดดันจากแรงเทขาย ซึ่งนำโดยหุ้นกลุ่มพลังงานและกลุ่มธนาคาร รวมถึงราคาน้ำมันและสินค้าโภคภัณฑ์อื่นๆปรับตัวขึ้นมากกว่าสองเท่าจากระดับราคาต่ำสุด ส่วนอัตราดอกเบี้ยนโยบายยังคงต่ำเป็นประวัติการณ์ ซึ่งช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในการปล่อยกู้
ขณะที่การออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจขนาดใหญ่เพื่อเร่งการเติบโต โดยการเบิกจ่ายงบประมาณจะดำเนินการในช่วงปี 2553 - 2555 ซึ่งจะเป็นตัวช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้ในทางอ้อม โดยการฟื้นตัวของเศรษฐกิจภายในประเทศมีความชัดเจนขึ้นในครึ่งหลังของปี 2552 หลังจากผ่านภาวะอ่อนแอในช่วงครึ่งปีแรก โดยมีแรงหนุนจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก และภาคต่างประเทศของเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและการส่งออก
โดยหุ้นที่อเบอร์ดีนลงทุนมีผลประกอบการทั้งดีและไม่ดี แต่ส่วนใหญ่ดี โดยไม่ถูกกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจ และมีการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญในไตรมาสสามและสี่ของปี 2552
สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นไทยในปี 53 นั้นคาดว่า จะมีความผันผวนและราคาหุ้นไทยในปัจจุบันไม่ถือว่าถูกอีกต่อไป ดังนั้น ควรเลือกลงทุนจากปัจจัยพื้นฐานเป็นสำคัญ ซึ่งมองว่านักลงทุนจะกลับมาให้ความสนใจหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็กมากขึ้น
โดยตลาดหุ้นไทยยังมีความเสี่ยงจากปัญหาการเมือง ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อแผนการใช้จ่ายของภาครัฐเกิดความล่าช้า และอาจถึงขั้นต้องยกเลิก ขณะที่ในช่วงปลายเดือน ก.พ.53 จะมีการตัดสินใจคคดีสำคัญคือ คดียึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งอาจจะมีเหตุการณ์ที่เข้ามากระทบตลาดหุ้นบ้าง
ขณะเดียวกัน ปัญหาเรื่องมาบตาพุดที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข ได้กลายเป็นปัญหาที่สร้างผลกระทบมากกว่าที่คาด อย่างไรก็ตามตลาดหุ้นไทยยังมีปัจจัยบวกอยู่บ้างจากสภาพคล่องที่มีค่อนข้างมาก และการเบิกจ่ายเงินงบประมาณของรัฐบาลจะมีมากขึ้น และรายได้ของบริษัทเอกชนจะมีมากขึ้น ดังนั้น การปรับตัวลดลงมาของดัชนีตลาดหุ้นอาจเป็นโอกาสการลงทุนระยะยาวที่จะเข้ามาซื้อหุ้น
ด้าน นายพงค์ธาริน ทรัพยานนท์ ผู้จัดการกองทุนตราสารหนี้ กล่าวว่า ตลอดปี 2552 ตลาดตราสารหนี้ไทยปรับตัวลดลงเป็นส่วนใหญ่ โดยอัตราผลตอบแทนเฉลี่ยมีส่วนต่างที่ปรับตัวสูงขึ้นประมาณ 0.20% - 1.50% และมูลค่าพันธบัตรระยะยาวปรับตัวต่ำกว่าพันธบัตรระยะสั้น โดยในปีที่ผ่านมามีความกังวลกับเศรษฐกิจของประเทศที่พัฒนาแล้วจึงส่งผลต่อตลาดตราสารหนี้ของไทย
ส่วนแนวโน้มตลาดตราสารหนี้ในปี 2553 นั้น คาดการณ์ว่าสถานการณ์ตลาดตราสารหนี้ไทยจะยังเป็นปีที่ท้าทายโดยการดำเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายจะสิ้นสุดลง เมื่อแนวโน้มของเศรษฐกิจไทยปรับตัวดีขึ้น ประกอบกับความเสี่ยงจากภาวะเงินเฟ้อเพิ่มสูงขึ้นขณะเดียวกัน เส้นแสดงอัตราผลตอบแทนเฉลี่ยของพันธบัตรทุกกลุ่มอายุยังมีรูปแบบตั้งชัน เนื่องจากมีการออกพันธบัตรรัฐบาลในปริมาณมาก เพื่อหาทางชดเชยงบประมาณที่ขาดดุล
นอกจากนี้พอร์ตการลงทุนเน้นลงทุนไปที่ในตราสารหนี้ที่มีอายุเฉลี่ยสั้น รวมไปถึงเรื่องของการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจยังคงมีความเปราะบาง และน่าจะทำให้ธนาคารแห่งประเทศไทยมีข้อจำกัดในการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย