บลจ.อเบอร์ดีน ระบุ แบงก์ชาติอาจขึ้นอัตราดอกเบี้ยในช่วงไตรมาส 2 ปีหน้า ชี้ ตลาดบอนด์ปี 53 อาจไม่ดี เนื่องจากเศรษฐกิจโลกเริ่มฟื้นตัว จูงใจนักลงทุนเล่นหุ้นมากขึ้น
นายพงค์ธาริน ทรัพยานนท์ ผู้จัดการกองทุนตราสารหนี้ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) อเบอร์ดีน จำกัด กล่าวว่า จากการที่ คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทย (กนง.) มีมติให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย อยู่ที่ระดับ 1.25% เมื่อวันที่ 2 ธ.ค.ที่ผ่านมา ถือว่าเป็นไปตามที่คาดการณ์เอาไว้เพื่อต้องการให้เศรษฐกิจคงอัตราการเติบโตเอาไว้ ซึ่งทางอเบอร์ดีน เห็นว่าตัวเลขอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศไทยในไตรมาสที่ 3 มีอัตราการเติบโตที่น้อยกว่าในไตรมาสที่ 2 ถือเป็นสัญญาญที่บ่งชี้ให้เห็นว่าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจอาจไม่ได้ฟื้นตัวอย่างรวดเร็วอย่างที่คาดการณ์กันเอาไว้ในช่วงก่อนหน้านี้
โดยจากภาวะเศรษฐกิจเช่นนี้แล้ว ทางแบงก์ชาติยังคงติดตามสถานการณ์ของเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง เพื่อกำหนดทิศทางของอัตราดอกเบี้ยต่อไปในปี 2553 โดยเบอร์ดีนเองคาดการณ์ว่า ในไตรมาสแรกของปี 2553 นั้นทางแบงก์ชาติยังไม่น่าที่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยแต่อย่างไร เพราะยังมีหลายปัจจัยที่ให้พิจารณาอยู่ เช่น อัตราแลกเปลี่ยนของค่าเงิน
“หากแบงก์ชาติจะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจริงน่าจะเป็นการปรับขึ้นในช่วงไตรมาสที่ 2 และน่าจะปรับขึ้นประมาณ 0.75% เท่านั้น” พงค์ธาริน กล่าว
ทั้งนี้ ภาวะเศรษฐกิจของเอเชียได้รับผลกระทบที่น้อยกว่าทางประเทศที่พัฒนาแล้ว ในขณะนี้ค่าเงินดอลลาร์ของสหรัฐฯอ่อนค่าลงมา ส่งผลให้สกุลเงินในเอเชียมีการแข็งค่าขึ้นรวมถึงค่าเงินบาทของไทยด้วย และในความเป็นจริงแล้วค่าเงินในภูมิภาคเอเชียควรจะแข็งตัวที่สุดเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐฯ แต่เนื่องจากมีการควบคุมเอาไว้ จึงทำให้ค่าเงินในแข็งค่าจนเกินไป
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากประเทศไทยมีการส่งออกไปต่างประเทศเป็นจำนวนมากเช่นเดียวกับประเทศอื่นในภูมิภาค ดังนั้น ในเรื่องของอัตราแลกเปลี่ยนจึงเป็นเรื่องที่สำคัญ หากแบงก์ชาติของไทยการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยปีหน้าและส่งผลให้อัตราแลกเปลี่ยนไม่อยู่ในระดับเดียวกับประเทศอื่นในภูมิภาคก็อาจไม่มีการปรับขึ้นก็เป็นได้
“ทางแบงก์ชาติยังคงมองถึงความสอดคล้องของค่าเงินอยู่ เพราะอาจจะกระทบต่อการส่งแข่งขันในเรื่องของการส่งออกกับประเทศในภูมิภาคได้” พงค์ธาริน กล่าว
ส่วนแนวโน้มของตลาดตราสารหนี้ในปี 2553 นั้น ผู้จัดการกองทุนตราสารหนี้ ระบุว่า แนวโน้มของตลาดบอนด์ในปีหน้าไม่น่าจะดีเท่ากับปีนี้ โดยปัจจัยสำคัญที่ต้องจับตามองก็คือ เศรษฐกิจของประเทศสหรัฐฯกับยุโรปซึ่งถือเป็นเศรษฐกิจที่พัฒนาแล้ว ซึ่งเกิดวิกฤตสถาบันการเงินและรัฐบาลได้อัดฉีดเม็ดเงินเข้าไปกระตุ้นเศรษฐกิจเป็นจำนวนมากจนเศรษฐกิจเริ่มปรับมาทรงตัวอยู่ได้นั้น หากในปีหน้ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเหล่านั้นถูกยกเลิกออกไปแล้ว เศรษฐกิจจะดำเนินต่อไปเองได้หรือไม่
ทั้งนี้ ปัจจัยดังกล่าวจะส่งผลถึงตลาดตราสารหนี้โดยตรง ซึ่งหากเศรษฐกิจดำเนินต่อไปได้โดยไม่มีมาตรการกระตุ้นแล้ว ตลาดตราสารหนี้คงจะไม่ดีนักเพราะนักลงทุนจะหันไปลงทุนในหุ้นกันเป็นส่วนใหญ่ แต่ในทางตรงกันข้ามหากเศรษฐกิจเดินต่อไปได้ไม่ดีนัก ตลาดตราสารหนี้น่าจะอยู่ในสถานการณ์ที่ดีอยู่ โดยในเรื่องนี้ยังคงต้องจับตามองตัวเลขทางเศรษฐกิจต่างๆที่ออกมาว่าจะเป็นอย่างไรบ้าง