บาทแตะ 33.17 แข็งค่าสุดในรอบ 1 ปี หลังเงินดอลลาร์สหรัฐฯ อ่อนค่าต่ำสุดรอบ 15 เดือน เอกชนห่วงสถานการณ์ค่าเงินบาทผันผวน จี้แบงก์ชาติเร่งสร้างเสถียรภาพ นายกฯ สั่งดูแลค่าเงินบาทตามทิศทางค่าเงินในภูมิภาค
นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ในที่ประชุมคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ (กรอ.) วันที่ 18 พฤศจิกายน 2552 ที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้รายงานให้ที่ประชุมรับทราบการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาท ในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา
ทั้งนี้ ค่าเงินบาทเคลื่อนไหวระหว่าง 33.26-33.48 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย เนื่องจากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ มีแนวโน้มอ่อนค่าในรอบ 15 เดือน เพราะธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ส่งสัญญาณว่า ยังต้องการคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ร้อยละ 0-0.25 ไปอีกระยะหนึ่ง ขณะที่เศรษฐกิจในภูมิภาคได้ฟื้นตัว ทำให้เงินทุนจากประเทศตะวันตกไหลเข้ามาในภูมิภาค ขณะที่นายกรัฐมนตรีต้องการส่งสัญญาณให้ประเทศในแถบภูมิภาคนี้ช่วยกันประคองอัตราแลกเปลี่ยนให้สอดคล้องกัน โดยไม่สร้างแรงกดดันด้วยกันเองในภูมิภาค
นายดุสิต นนทะนาคร ประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ภาคเอกชนมีความเป็นห่วงค่าเงินบาท จึงต้องการให้ ธปท.ดูแลค่าเงินบาทไม่ให้ผันผวน เพราะหากเงินบาทแข็งค่ามากเกินไปก็จะกระทบต่อการส่งออก แต่หากอ่อนค่ามากไปจะทำให้เป็นภาระต่อการนำเข้าน้ำมันมาใช้ในประเทศ ราคาน้ำมันก็จะสูงขึ้น ภาคเอกชนไม่กังวลว่าค่าเงินบาทจะเป็นเท่าใด แต่ต้องการให้มีเสถียรภาพ และเคลื่อนไหวสอดคล้องกับประเทศคู่แข่งทางการค้า เช่น เวียดนาม จีน และกลุ่มประเทศที่ทำการค้าด้วยกัน
ด้านนักค้าเงินจากธนาคารพาณิชย์ กล่าวยอมรับว่า ค่าเงินบาทวันที่ 18 พฤศจิกายน 2552 แข็งค่าที่สุดในรอบ 1 ปี โดยปิดตลาดที่ระดับ 33.17-33.18 บาทต่อดอลลาร์ พร้อมระบุว่า สาเหตุที่เงินบาทปรับตัวแข็งค่าขึ้นในวันนี้ เป็นการปรับตัวตามค่าเงินในภูมิภาค ซึ่งเกินจากปัจจัยหลัก การอ่อนค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐฯ สำหรับแนวโน้มเงินบาทวันที่ 19 พฤศจิกายน 2552 คาดว่ายังแข็งค่าได้ต่อเนื่อง แนวโน้มอยู่ในกรอบ 33.10-33.25 บาทต่อดอลลาร์