สมาคมตราสารหนี้ เเจงความคืบหน้าการเก็บค่าธรรมเนียมในการทำ mark-to-market อาจต้องเลื่อนออกไปอีก หลัง บลจ.ขอทางเลือกหากจะต้องเสียเงิน เผยดีลเลอร์ 2 รายพร้อมอยากให้บริการ ล่าสุด ThaiBMA จ่อเปลี่ยนขายข้อมูลดีลเลอร์เเทนบลจ. คาดปลายปี 53 น่าจะเริ่มเก็บได้
นายณัฐพล ชวลิตชีวิน กรรมการผู้จัดการสมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย หรือ ThaiBMA เปิดเผยว่า หลังจากที่สมาคมฯจะมีการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมการอ้างอิงตราสารหนี้สำหรับการ mark-to-market และการใช้ข้อมูลของหรือบทวิเคราะห์กับผู้ที่ใช้บริการกับทางสมาคม เช่น บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ธนาคาร หรือบริษัทประกันภัย เป็นต้นนั้น
ซึ่งความคืบหน้าล่าสุดนั้น ทางทางคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เเละ บลจ. พร้อมกับสมาคมฯ ได้ทำการหารือกันถึงการเก็บค่าธรรมเนียมดังกล่าว ซึ่งทางบลจ.อยากให้ทางกลต.มีทางเลือกในการใช้บริการข้อมูลราคาตราสารหนี้ นอกเหนือจากทางสมาคมตราสารหนี้
ทั้งนี้ มีดีลเลอร์ที่สนใจจะเข้ามาให้ข้อมูลราคาตราสารหนี้ประมาณ 2 ราย ซึ่งทางสมาคมเองอาจจะขายข้อมูลให้กับดีเลอร์ทั้ง 2 ราย หรือไม่ก็ยังคงทำหน้าที่ให้บริการกับบลจ.เหมือนเดิม ทั้งหมดก็ต้องมีการหารือกันอักครั้งอย่างไรก็ตามคาดว่าปลายปี 2553 นี้จะน่าจะมีการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมดังกล่าวได้
นอกจากนี้ ทางThaiBMA จะส่งเสริมเสริมธุรกรรมซื้อคืนภาคเอกชน (Private repo) นอกจากจะเป็น การพัฒนาตลาดซื้อคืนจะมีส่วนสำคัญอย่างยิ่งต่อการเพิ่มสภาพคล่องในตลาดตราสารหนี้ไทย และเป็นเครื่องมือที่สำคัญในการบริหารความเสี่ยงในการลงทุนอีกด้วย เชื่อว่าธุรกรรมดังกล่าวจะได้รับความนิยมจากบริษัทหลักทรัพย์ หรือโบรกเกอร์ อีกด้วย
ขณะเดียวกันปลายปี2553 นี้ทาง tfex จะทำฟิวเจอร์สของตราสารหนี้โดยอ้างอิงกับพันธบัตรรุ่น 5 ปีอีกด้วย และที่สำคัญทางสมาคมจะมีการผลักดันให้ทางภาครัฐทำเกณฑ์มาตราฐานพันธบัตรอายุ 3 ปี หลังจากที่ทำเกณฑ์มาตรฐานพันธบัตรอายุ 5 ปีเเละ 10 ปี ไปเเล้ว
ในขณะที่ภาครัฐปีนี้ประกาศว่า จะออกพันธบัตรระดมเงิน 800,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นการระดมเงินเพื่อนำไปใช้ภายใต้โครงการไทยเข้มแข็ง โดยในช่วงไตรมาสแรกปีงบประมาณ 53 (ต.ค.-ธ.ค.52) มีการออกพันธบัตรระดมเงินไปแล้วกว่า 100,000 ล้านบาท ที่เหลือจะทยอยออกมาเพิ่มเติมอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม ค่าธรรมเนียมที่ทางสมาคมจะเรียกเก็บจากบลจ.ก่อนหน้านี้ คือรายชื่อละ 5 บาทต่อวัน หรืออาจจะน้อยกว่านี้ ซึ่งได้ทำโปรโมชั่นให้ทางผู้ที่ใช้ข้อมูลได้เลือกเองว่าจะใช้โปรโมชั่นไหน โดยทางสมาคมฯได้ทำการประเมินไว้แล้วว่า บลจ.จะใช้ข้อมูลเพียงไม่กี่รายชื่อเท่านั้น คาดว่าค่าธรรมเนียมที่จะเรียกเก็บนั้นจะไม่ส่งผลกระทบกับทางกองทุนเท่าไรนัก
โดยค่าธรรมเนียมที่เราเรียกเก็บกับสถาบันที่ใช้ข้อมูลของเรา ถือว่าน้อยมาก คิดเป็น 0.0001% ของค่าธรรมเนียมอื่นๆของกองทุน หากเทียบกับอากรแสตมป์แล้วค่าฟรีของเราก็น้อยกว่ามาก ซึ่งถือว่ายังไม่ถึง 1% ซึ่งการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมจากบลจ.นั้น ทางสมาคมมองว่า จะไม่ส่งผลกระทบต่อค่าธรรมเนียมที่บลจ.เรียกเก็บจากนักลงทุนแน่นอน เนื่องจากค่าธรรมเนียมที่เรียกเก็บนั้นราคาต่ำกว่าเมื่อเทียบกับค่าใช้จ่ายด้านอื่นๆของกองทุน
นอกจากนี้ แนวโน้มของตลาดตราสารหนี้ในปี 2553 จากการสำรวจเก็บข้อมูลเบื้องต้น พบว่าการซื้อขายตราสารหนี้ในตลาดรองน่าจะมีการซื้อขายที่คึกคักขึ้นกว่าปี 2552 ซึ่งเป็นผลมาจากปริมาณพันธบัตรรัฐบาลที่มีออกมาใหม่เป็นจำนวนมากในปี 2553
แต่อย่างไรก็ตาม นักลงทุนยังคงเน้นลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้นถึงระยะกลางเท่านั้น เนื่องจากความไม่แน่นอนของทิศทางเศรษฐกิจ ทำให้นักลงทุนยังไม่กล้าลงทุนในตราสารหนี้ระยะยาวมากนัก
สำหรับในส่วนของตลาดหุ้นกู้เอกชน (Corporate Bonds) จะมีปริมาณการออกที่ลดลงมากพอสมควร โดยมีปัจจัยที่เป็นตัวกระทบ 2 ประการหลักๆ คือ เรื่องของทิศทางดอกเบี้ยที่คาดว่าจะมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นในปีหน้า กับเรื่องของการออกพันธบัตรรัฐบาลจำนวนมากของภาครัฐ