ผู้จัดการกองทุน ชี้ ตลาดตราสารหนี้ปี 53 ไม่คึกคักเท่าปีที่ผ่านมา แต่ตลาดหุ้นจะได้รับความสนใจเพิ่มขึ้นจากภาวะเศรษฐกิจที่เริ่มฟื้นตัว ระบุยังต้องจับตาทิศทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ซึ่งคาดว่าเฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยเกือบทั้งปี
นายธีระศันส์ ทุติยะโพธิ ผู้จัดการกองทุนอาวุโส บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ทหารไทย จำกัด กล่าวถึงแนวโน้มของตลาดตราสารหนี้ในปี 2553 ว่า ในปี2552 ที่ผ่านมาตลาดตราสารหนี้ส่วนใหญ่เป็นการลงทุนอยู่ในพันธบัตรรัฐบาลเกาหลีใต้จำนวนมาก ซึ่งส่งผลให้อุตสาหกรรมกองทุนรวมในปีที่ผ่านมาโตขึ้นจากการลงทุนในพันธบัตรเกาหลีใต้ แต่เนื่องจากในปีนี้กองทุนที่ลงทุนในพันธบัตรเกาหลีใต้จะครบอายุ ดังนั้นกองทุนรวมจึงต้องหากองทุนรองรับเม็ดเงินเหล่านั้นที่จะกลับมา ซึ่งอาจเป็นกองทุนตราสารหนี้ในประเทศ รวมถึงกองทุนมันนี่มาร์เก็ต
ทั้งนี้ คาดว่าในปีนี้นักลงทุนจะหันไปให้ความสนใจลงทุนในหุ้นกันมากขึ้น ซึ่งส่งผลให้การลงทุนในตราสารหนี้ไม่น่าจะคึกคักเท่ากับในปี2552 ที่ผ่านมา ซึ่งรวมไปถึงพันธบัตรของประเทศเกาหลีใต้ด้วย
"เม็ดเงินที่จะไหลกลับมาจากบอนด์เกาหลีใต้น่าจะไปลงทุนในหุ้นเพราะให้ผลตอบแทนที่มากกว่าลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้นและระยะกลาง" นายธีระศันส์ กล่าว
นายธีระศันส์ กล่าวต่อว่า ในปีนี้คาดว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) น่าจะคงอัตราดอกเบี้ยไว้เกือบตลอดทั้งปีเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ หรือหากมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยน่าจะเป็นในช่วงปลายๆปี ส่วนทางด้านธนาคารแห่งประเทศไทยนั้นก็ยังคงมองไปที่เศรษฐกิจสหรัฐฯเป็นหลักอยู่หากสหรัฐฯปรับขึ้นดอกเบี้ยทางแบงก์ชาติคงปรับขึ้นตาม
ด้านนายพงค์ธาริน ทรัพยานนท์ ผู้จัดการกองทุนตราสารหนี้ บลจ.อเบอร์ดีน กล่าวว่า ตลาดตราสารหนี้ของกลุ่มประเทศเกิดใหม่ทั่วโลก ในปี 2552 ที่ผ่านมามีความน่าสนใจมาก อย่างไรก็ตามสำหรับในปี 2553 นี้ คาดว่าตลาดตราสารหนี้ไม่น่าจะดีเท่ากับปีนี้ เพราะภาวะเศรษฐกิจโลกเริ่มปรับตัวดีขึ้น ทำให้การลงทุนในหุ้นมีความน่าสนใจมากกว่า
ทั้งนี้มองว่า ในปี 2553 ทิศทางดอกเบี้ยของทั่วโลกน่าจะเป็นขาขึ้น โดยเฉพาะในเอเชียและละตินอเมริกา ขณะที่ประเทศสหรัฐฯนั้น คาดว่าน่าจะมีการคงอัตราดอกเบี้ยไว้ตลอดทั้งปี เพื่อคงการกระตุ้นเศรษฐกิจเอาไว้ ขณะเดียวกันปัจจัยที่น่าจับตามองคือ การยกเลิกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งหากยกเลิกแล้ว เศรษฐกิจของหรัฐฯในครึ่งปีหน้าจะเติบโตได้มากน้อยแค่ไหน ซึ่งยังเป็นที่จับตามองอยู่ เพราะหากยกเลิกแล้วเศรษฐกิจสามารถเติบโตเองได้ จะส่งผลให้การลงทุนในหุ้นมีความน่าสนใจกว่าการลงทุนในตราสารหนี้ และในทางตรงกันข้ามหากเศรษฐกิจเติบโตต่อไปเองไม่ได้จะทำให้ตราสารหนี้ยังคงเป็นที่น่าสนใจอยู่
" ในปีนี้ยังต้องติดตามเศรษฐกิจเป็นรายไตรมาสต่อไป รวมทั้งเรื่องของอัตราเงินเฟ้อด้วยเช่นกัน ซึ่งต้องดูธนาคารกลางของประเทศต่างๆจะดำเนินนโยบายในเรื่องดอกเบี้ยอย่างไร เพื่อให้สอดคล้องกับอัตราเงินเฟ้อที่อาจปรับเพิ่มขึ้น" นายพงค์ธาริน กล่าว
สำหรับกองทุน อเบอร์ดีน อีเมอร์จิ้ง ออพพอร์ทูนิตี้ส์ บอนด์ ฟันด์ ของ บลจ.อเบอร์ดีนที่ลงทุนอยู่ในตราสารหนี้ของประเทศเกิดใหม่นั้น ส่วนใหญ่ยังคงลงทุนอยู่ในอยู่สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งแนวโน้มในปี 2553 ที่คาดการณ์ว่าดอกเบี้ยของประเทศเกิดใหม่น่าจะเป็นขาขึ้นและเงินดอลลาร์สหรัฐฯน่าจะมีการแข็งค่าขึ้นมานั้น แนวโน้มดังกล่าวจะเป็นผลดีต่อกองทุนทั้งผลตอบแทนจากอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นและในส่วนอัตราแลกเปลี่ยน