บลจ.แอสเซทพลัส เผย ช่วงสิ้นปีนักลงทุนทยอยปรับการลงทุนใหม่ ส่งให้ปริมาณความต้องการตราสารหนี้ระยะสั้นเพิ่มสูง สวนทางผลตอบแทนที่ปรับลดลงต่อเนื่อง ส่งผลให้เม็ดเงินอาจะไหลเข้า กองทุนตลาดเงินเพิ่มขึ้น ล่าสุดหวั่นการระดมทุนเพิ่มผ่านตลาดตราสารหนี้ประมาณ 4 หมื่นล้านของรัฐบาลเป็นกดดันในไตรมาสที่จะถึงนี้
นายวิน อุดมรัชตวนิชย์ รองกรรมการผู้จัดการ และหัวหน้าเจ้าหน้าที่บริหารการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) แอสเซท พลัส จำกัด เปิดเผยถึงแนวโน้มการลงทุนในตราสารหนี้ว่า อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยมีการเคลื่อนไหวในช่วงแคบท่ามกลางปริมาณการซื้อขายที่ค่อนข้างเบาบาง โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรุ่นอายุคงเหลือ 10 ปี มีการเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบระหว่าง 4.32-4.35% ขณะที่พันธบัตรรัฐบาลที่มีการประมูลในช่วงที่ผ่านมานั้นมี 1 รุ่น ได้แก่ พันธบัตรอายุคงเหลือ 30 ปี จำนวน 3,000 ล้านบาท โดย Bid Coverage อยู่ที่ 4.07เท่า ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับที่สูง ขณะที่ อัตราผลตอบแทนรุ่นอายุคงเหลือระยะสั้นกว่า 1ปี มีการปรับลดลงประมาณ 5-10 bps ต่อเนื่องมาจากสัปดาห์ก่อนหน้า
ทั้งนี้ จากการที่นักลงทุนมีการปรับการลงทุนในช่วงสิ้นปีซึ่งทำให้ปริมาณความต้องการในตราสารหนี้ระยะสั้นปรับเพิ่มสูงขึ้นค่อนข้างมาก แม้ว่าปริมาณพันธบัตรที่มีการออกมาประมูลสำหรับตราสารภาครัฐระยะสั้นยังคงมีค่อนข้างมาก ขณะที่ปัจจัยจากต่างประเทศมีผลกระทบเพียงเล็กน้อยต่อตลาดตราสารหนี้ไทยในช่วงที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม คาดว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลน่าจะเคลื่อนไหวในช่วงแคบ ๆ ต่อเนื่อง สำหรับสัปดาห์สุดท้ายของปีเช่นนี้ ทำให้มีการซื้อขายในปริมาณที่น้อย โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรุ่นระยะสั้นมีโอกาสปรับลดลงต่อเนื่องจากการปรับการลงทุนในช่วงปลายปี และอาจจะมีการทยอยเข้า money market fund เพิ่มขึ้น ขณะที่อัตราผลตอบแทนอายุคงเหลือระยะยาวมีโอกาสที่จะปรับเพิ่มขึ้นได้ ซึ่งหลังจากที่รัฐบาลมีการประกาศตัวเลขระดมทุนผ่านตลาดตราสารหนี้ในปีงบประมาณไตรมาส 2/2553 (ไตรมาส 1/2553 ตามปีปฎิทิน) จำนวนมากกว่า 1.15 แสนล้านบาท ซึ่งถือเป็นการระดมทุนเพิ่มขึ้นประมาณ 4 หมื่นล้านบาท เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า และอาจจะจะเป็นปัจจัยกดดันตลาดตราสารหนี้ไทยตลอดช่วงไตรมาสที่จะถึงนี้
นายวินกล่าวอีกว่า การปรับตัวของตลาดตราสารหนี้สหรัฐฯ และปัจจัยจากต่างประเทศน่าจะมีผลกระทบเพียงเล็กน้อยต่อตลาดตราสารหนี้เนื่องจากเป็นช่วงวันหยุด ทำให้มีประมาณการซื้อขายที่ลดลง ด้านราคาน้ำมันที่ปรับขึ้นน่าจะมีผลกระทบทางจิตวิทยาต่อแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อซึ่งอาจจะส่งผลทางลบในช่วงสั้นสำหรับการลงทุนในตราสารหนี้ระยะยาวได้
สำหรับนักลงทุนที่มองหาช่องทางการลงทุนในระยะสั้น และสามารถให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าการฝากเงิน การลงทุนในกองทุนรวมตราสารหนี้ระยะสั้นจึงถือเป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจ โดยการลงทุนในกองทุนประเภทนี้นั้น นอกจากจะให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าการฝากเงิน และมีสภาพคล่องในการลงทุนสูง โดยนักลงทุนสามารถไถ่ถอนได้ทุกวันทำการ
ทั้งนี้ นักลงทุนที่มองหาการลงทุนที่สามารถให้ผลตอบแทนที่ดี ในช่วงระหว่างรอการลงทุนในรอบใหม่ การเลือกลงทุนในกองทุนเปิดแอสเซทพลัสตราสารหนี้ (ASP) ซึ่งเป็นกองทุนตราสารหนี้ จึงถือเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ เนื่องจากกองทุนมีผลตอบแทนที่ดี อีกทั้งยังมีสภาพคล่องสูง ขณะที่ความเสี่ยงที่นักลงทุนได้รับนั้นก็ไม่สูงจนเกินไป โดยกองทุนนี้เหมาะสำหรับนักลงทุนที่ต้องการสร้างผลตอบแทนในช่วงตัดสินใจลงทุน
โดยณ วันที่ 27 พฤศจิกายน กองทุน ASP มีผลการดำเนินงานย้อนหลัง 3 เดือนอยู่ที่ 0.98 % ย้อนหลัง 6 เดือนอยู่ที่ 0.95% และย้อนหลัง 1 ปีอยู่ที่ 1.32%
นายวิน อุดมรัชตวนิชย์ รองกรรมการผู้จัดการ และหัวหน้าเจ้าหน้าที่บริหารการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) แอสเซท พลัส จำกัด เปิดเผยถึงแนวโน้มการลงทุนในตราสารหนี้ว่า อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยมีการเคลื่อนไหวในช่วงแคบท่ามกลางปริมาณการซื้อขายที่ค่อนข้างเบาบาง โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรุ่นอายุคงเหลือ 10 ปี มีการเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบระหว่าง 4.32-4.35% ขณะที่พันธบัตรรัฐบาลที่มีการประมูลในช่วงที่ผ่านมานั้นมี 1 รุ่น ได้แก่ พันธบัตรอายุคงเหลือ 30 ปี จำนวน 3,000 ล้านบาท โดย Bid Coverage อยู่ที่ 4.07เท่า ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับที่สูง ขณะที่ อัตราผลตอบแทนรุ่นอายุคงเหลือระยะสั้นกว่า 1ปี มีการปรับลดลงประมาณ 5-10 bps ต่อเนื่องมาจากสัปดาห์ก่อนหน้า
ทั้งนี้ จากการที่นักลงทุนมีการปรับการลงทุนในช่วงสิ้นปีซึ่งทำให้ปริมาณความต้องการในตราสารหนี้ระยะสั้นปรับเพิ่มสูงขึ้นค่อนข้างมาก แม้ว่าปริมาณพันธบัตรที่มีการออกมาประมูลสำหรับตราสารภาครัฐระยะสั้นยังคงมีค่อนข้างมาก ขณะที่ปัจจัยจากต่างประเทศมีผลกระทบเพียงเล็กน้อยต่อตลาดตราสารหนี้ไทยในช่วงที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม คาดว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลน่าจะเคลื่อนไหวในช่วงแคบ ๆ ต่อเนื่อง สำหรับสัปดาห์สุดท้ายของปีเช่นนี้ ทำให้มีการซื้อขายในปริมาณที่น้อย โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรุ่นระยะสั้นมีโอกาสปรับลดลงต่อเนื่องจากการปรับการลงทุนในช่วงปลายปี และอาจจะมีการทยอยเข้า money market fund เพิ่มขึ้น ขณะที่อัตราผลตอบแทนอายุคงเหลือระยะยาวมีโอกาสที่จะปรับเพิ่มขึ้นได้ ซึ่งหลังจากที่รัฐบาลมีการประกาศตัวเลขระดมทุนผ่านตลาดตราสารหนี้ในปีงบประมาณไตรมาส 2/2553 (ไตรมาส 1/2553 ตามปีปฎิทิน) จำนวนมากกว่า 1.15 แสนล้านบาท ซึ่งถือเป็นการระดมทุนเพิ่มขึ้นประมาณ 4 หมื่นล้านบาท เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า และอาจจะจะเป็นปัจจัยกดดันตลาดตราสารหนี้ไทยตลอดช่วงไตรมาสที่จะถึงนี้
นายวินกล่าวอีกว่า การปรับตัวของตลาดตราสารหนี้สหรัฐฯ และปัจจัยจากต่างประเทศน่าจะมีผลกระทบเพียงเล็กน้อยต่อตลาดตราสารหนี้เนื่องจากเป็นช่วงวันหยุด ทำให้มีประมาณการซื้อขายที่ลดลง ด้านราคาน้ำมันที่ปรับขึ้นน่าจะมีผลกระทบทางจิตวิทยาต่อแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อซึ่งอาจจะส่งผลทางลบในช่วงสั้นสำหรับการลงทุนในตราสารหนี้ระยะยาวได้
สำหรับนักลงทุนที่มองหาช่องทางการลงทุนในระยะสั้น และสามารถให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าการฝากเงิน การลงทุนในกองทุนรวมตราสารหนี้ระยะสั้นจึงถือเป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจ โดยการลงทุนในกองทุนประเภทนี้นั้น นอกจากจะให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าการฝากเงิน และมีสภาพคล่องในการลงทุนสูง โดยนักลงทุนสามารถไถ่ถอนได้ทุกวันทำการ
ทั้งนี้ นักลงทุนที่มองหาการลงทุนที่สามารถให้ผลตอบแทนที่ดี ในช่วงระหว่างรอการลงทุนในรอบใหม่ การเลือกลงทุนในกองทุนเปิดแอสเซทพลัสตราสารหนี้ (ASP) ซึ่งเป็นกองทุนตราสารหนี้ จึงถือเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ เนื่องจากกองทุนมีผลตอบแทนที่ดี อีกทั้งยังมีสภาพคล่องสูง ขณะที่ความเสี่ยงที่นักลงทุนได้รับนั้นก็ไม่สูงจนเกินไป โดยกองทุนนี้เหมาะสำหรับนักลงทุนที่ต้องการสร้างผลตอบแทนในช่วงตัดสินใจลงทุน
โดยณ วันที่ 27 พฤศจิกายน กองทุน ASP มีผลการดำเนินงานย้อนหลัง 3 เดือนอยู่ที่ 0.98 % ย้อนหลัง 6 เดือนอยู่ที่ 0.95% และย้อนหลัง 1 ปีอยู่ที่ 1.32%