บลจ.ไอเอ็นจี ปลื้มฐานลูกค้าเพิ่ม10,000 ราย เงินสะพัดเข้ากองทุนกว่า 5 พันล้านบาท หลังทำโปรโมชั่นคู่ธนาคารทหารไทย เผยไม่กังวลเรื่องเเบงก์เเม่มี 2 บลจ. เชื่อเป็นการเปิดทางให้นักลงทุนได้เลือกโปรดักส์เอง
นายต่อ อินทวิวัฒน์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายธุรกิจกองทุนรวมเเละที่ปรึกษาการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ไอเอ็นจี (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า หลังจากที่บลจ.ไอเอ็นจี ได้ร่วมทำเเคมเปญกับธนาคารทหารไทย ในช่วง 1 ปีทีผ่านมา ทำให้บลจ.มีฐานลูกค้าที่มาจากธนาคารเพิ่มขึ้นประมาณ 10,000 ราย เเละมีเม็ดเงินเพิ่มขึ้นประมาณ 5 พันล้านบาท ทั้งนี้เงินที่เข้ามาในกองทุนส่วนใหญ่จะเป็นเงินที่ถูกกับโปรดักส์ เช่นกองทุนรวมประหยัดภาษี หรือกองทุนรวมตราสารหนี้เเบบล๊อกอายุ เป็นต้น
อย่างไรก็ตามการที่ธนาคารทหารไทย มีบลจ.ทหารไทย เเละมีบลจ.ไอเอ็นจี อยู่ในเครือเดียวกันนั้น ตนมองว่า น่าจะเป็นช่องทางที่เปิดให้ลูกค้าเป็นผู้เลือกโปรดักส์การลงทุน ว่ากองทุนไหหรือนการบริหารงานสไตลค์เเบบไหนเหมาะกับลูกค้า ทั้งนี้เเผนการตลาดในช่วงที่ผ่านมาของบลจ.ไอเอ็นจี นั้นจะมุ่งเน้นให้นักลงทุนเลือกลงทุนเเบบ Asset Allocation เพื่อสร้างผลตอบเเทนที่ดีให้กับนักลงทุนในอนาคต
นายต่อกล่าวอีกว่า ไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ นักลงทุนค่อนข้างมีความคาดหวังในเชิงบวกสำหรับการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์และอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งจะเห็นได้ว่านักลงทุนไทยมีสัดส่วนของการลงทุนในกองทุนและหุ้นเพิ่มขึ้นเป็น 37% ในไตรมาส 3 ซึ่งนักลงทุนชาวไทยยังคงมีทัศนคติที่ดีต่อตลาดหลักทรัพย์ไทย และคาดว่าตลาดจะมีการเติบโตเฉลี่ย 7.2% ในไตรมาส 4 โดยนักลงทุนหลายรายยังคงมุ่งลงทุนในกลุ่มหลักทรัพย์ที่มีการเติบโตสูง อาทิ กลุ่มธุรกิจการเงิน พลังงาน และเทคโนโลยี อีกทั้งยังมีความเชื่อมั่นในกลุ่มธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ คาดว่า ราคาอสังหาริมทรัพย์จะดีดตัวเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 4.8% ในไตรมาส 4 ของปีนี้
นอกจากนี้แล้ว นักลงทุนไทยมองว่าอัตราเงินเฟ้อและดอกเบี้ยอยู่ในระดับที่ทรงตัว และเลือกการลงทุนแบบอนุรักษ์นิยมนักลงทุนชาวไทยมิได้มองว่าอัตราเงินเฟ้อและดอกเบี้ยจะปรับตัวสูงขึ้นและเป็นความเสี่ยงต่อการลงทุนในระยะปานกลาง ซึ่งแตกต่างจากทัศนคติของนักลงทุนในประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาคเอเชีย ทั้งนี้ นักลงทุนไทยมากกว่าครึ่ง คาดว่าอัตราเงินเฟ้อจะไม่เพิ่มขึ้นในปี 2553 ขณะคาดว่าอัตราดอกเบี้ยก็จะไม่เพิ่มขึ้นในปีหน้าที่ 58%ขณะที่นักลงทุนประมาณครึ่งหนึ่ง (49%) ไม่มั่นใจว่า ปัญหาการเมืองดังกล่าวจะคลี่คลายในไตรมาสหน้าหรือไม่
ทั้งนี้เเม้จะมีความวิตกเกี่ยวกับวิกฤติการเมือง นักลงทุนชาวไทยส่วนใหญ่มองว่าเศรษฐกิจไทยโดยรวมมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อย อันเป็นผลจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจมูลค่า 12,000 ล้านเหรียญสหรัฐที่รัฐบาลไทยประกาศจะดำเนินการล่าสุด รวมทั้งยอมรับว่า ผลตอบแทนจากการลงทุนของตนมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อย นอกจากนี้ นักลงทุนไทย 43% มองเห็นถึงการฟื้นตัวของการส่งออกไทย ขณะที่อีก 29% เชื่อว่า การใช้จ่ายของภาครัฐ คือ แรงขับเคลื่อนสำคัญของการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของไทย นักลงทุนไทยจำนวนมากคาดการณ์ว่า เศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาจะฟื้นตัวขึ้นในไตรมาส 4/2552 ซึ่งน่าจะทำให้ภาคการส่งออกของไทยปรับตัวดีขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้
นายต่อ อินทวิวัฒน์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายธุรกิจกองทุนรวมเเละที่ปรึกษาการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ไอเอ็นจี (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า หลังจากที่บลจ.ไอเอ็นจี ได้ร่วมทำเเคมเปญกับธนาคารทหารไทย ในช่วง 1 ปีทีผ่านมา ทำให้บลจ.มีฐานลูกค้าที่มาจากธนาคารเพิ่มขึ้นประมาณ 10,000 ราย เเละมีเม็ดเงินเพิ่มขึ้นประมาณ 5 พันล้านบาท ทั้งนี้เงินที่เข้ามาในกองทุนส่วนใหญ่จะเป็นเงินที่ถูกกับโปรดักส์ เช่นกองทุนรวมประหยัดภาษี หรือกองทุนรวมตราสารหนี้เเบบล๊อกอายุ เป็นต้น
อย่างไรก็ตามการที่ธนาคารทหารไทย มีบลจ.ทหารไทย เเละมีบลจ.ไอเอ็นจี อยู่ในเครือเดียวกันนั้น ตนมองว่า น่าจะเป็นช่องทางที่เปิดให้ลูกค้าเป็นผู้เลือกโปรดักส์การลงทุน ว่ากองทุนไหหรือนการบริหารงานสไตลค์เเบบไหนเหมาะกับลูกค้า ทั้งนี้เเผนการตลาดในช่วงที่ผ่านมาของบลจ.ไอเอ็นจี นั้นจะมุ่งเน้นให้นักลงทุนเลือกลงทุนเเบบ Asset Allocation เพื่อสร้างผลตอบเเทนที่ดีให้กับนักลงทุนในอนาคต
นายต่อกล่าวอีกว่า ไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ นักลงทุนค่อนข้างมีความคาดหวังในเชิงบวกสำหรับการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์และอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งจะเห็นได้ว่านักลงทุนไทยมีสัดส่วนของการลงทุนในกองทุนและหุ้นเพิ่มขึ้นเป็น 37% ในไตรมาส 3 ซึ่งนักลงทุนชาวไทยยังคงมีทัศนคติที่ดีต่อตลาดหลักทรัพย์ไทย และคาดว่าตลาดจะมีการเติบโตเฉลี่ย 7.2% ในไตรมาส 4 โดยนักลงทุนหลายรายยังคงมุ่งลงทุนในกลุ่มหลักทรัพย์ที่มีการเติบโตสูง อาทิ กลุ่มธุรกิจการเงิน พลังงาน และเทคโนโลยี อีกทั้งยังมีความเชื่อมั่นในกลุ่มธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ คาดว่า ราคาอสังหาริมทรัพย์จะดีดตัวเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 4.8% ในไตรมาส 4 ของปีนี้
นอกจากนี้แล้ว นักลงทุนไทยมองว่าอัตราเงินเฟ้อและดอกเบี้ยอยู่ในระดับที่ทรงตัว และเลือกการลงทุนแบบอนุรักษ์นิยมนักลงทุนชาวไทยมิได้มองว่าอัตราเงินเฟ้อและดอกเบี้ยจะปรับตัวสูงขึ้นและเป็นความเสี่ยงต่อการลงทุนในระยะปานกลาง ซึ่งแตกต่างจากทัศนคติของนักลงทุนในประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาคเอเชีย ทั้งนี้ นักลงทุนไทยมากกว่าครึ่ง คาดว่าอัตราเงินเฟ้อจะไม่เพิ่มขึ้นในปี 2553 ขณะคาดว่าอัตราดอกเบี้ยก็จะไม่เพิ่มขึ้นในปีหน้าที่ 58%ขณะที่นักลงทุนประมาณครึ่งหนึ่ง (49%) ไม่มั่นใจว่า ปัญหาการเมืองดังกล่าวจะคลี่คลายในไตรมาสหน้าหรือไม่
ทั้งนี้เเม้จะมีความวิตกเกี่ยวกับวิกฤติการเมือง นักลงทุนชาวไทยส่วนใหญ่มองว่าเศรษฐกิจไทยโดยรวมมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อย อันเป็นผลจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจมูลค่า 12,000 ล้านเหรียญสหรัฐที่รัฐบาลไทยประกาศจะดำเนินการล่าสุด รวมทั้งยอมรับว่า ผลตอบแทนจากการลงทุนของตนมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อย นอกจากนี้ นักลงทุนไทย 43% มองเห็นถึงการฟื้นตัวของการส่งออกไทย ขณะที่อีก 29% เชื่อว่า การใช้จ่ายของภาครัฐ คือ แรงขับเคลื่อนสำคัญของการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของไทย นักลงทุนไทยจำนวนมากคาดการณ์ว่า เศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาจะฟื้นตัวขึ้นในไตรมาส 4/2552 ซึ่งน่าจะทำให้ภาคการส่งออกของไทยปรับตัวดีขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้