บลจ.วรรณชูกลยุทธ์ทำกำไรตลาดตราสารหนี้ ซื้อมาขายไปช่วงตลาดผันผวน เน้นสร้างผลตอบแทนให้กองทุน พร้อมแนะลงทุนล็อกอายุบอนด์ระยะสั้น รับผลตอบแทนสูงกว่า พร้อมระบุ จุดต่ำสุดของตราสารหนี้ผ่านไปแล้ว หลังอัตราดอกเบี้ยคงที่ หวั่นความไม่ชัดเจนของซัพพลาย ดึงยิลด์ในตลาดลดลง
นางสาวพรอุมา เทวาหุดี ผู้จัดการกองทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม(บลจ.) วรรณ จำกัด เปิดเผยถึงการลงทุนในกองทุนตราสารหนี้ในช่วง 3-6 เดือนที่ผ่านมาว่า ผลตอบแทนของกองทุนตราสารหนี้ได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นทุกกอง โดยบริษัทมีการซื้อขายพันธบัตรในช่วงที่ตลาดมีความผันผวน พร้อมเพิ่มดูเรชั่นในช่วงที่ผลตอบแทนอยู่ในช่วงขาลง และอาศัยการซื้อมาขายไปจึงทำให้กองทุนมีกำไรและผลตอบแทนปรับตัวเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ในเดือนที่ผ่านมา ยิลด์ของพันธบัตรรัฐบาลปรับตัวเพิ่มขึ้น จึงทำให้ราคาของพันธบัตรรัฐบาลในตลาดรองปรับตัวลดลง
ทั้งนี้ ซัพพลายต่างๆที่จะเกิดขึ้น ทำให้นักทุนค่อนข้างที่จะกังวลในเรื่องของผลตอบแทนที่นักลงทุนจะได้รับจากการลงทุน และระมัดระวังในการซื้อขายตราสารหนี้ เนื่องจากนักลงทุนยังไม่เห็นความชัดเจนของซัพพลายที่จะเกิดขึ้น ทั้งในเรื่องของ พ.ร.ก. เงินกู้ 4 แสนล้านบาทที่ผ่านการอนุมัติแล้ว และจะมีการนำออกมาใช้ในช่วงเดือน กรกฎาคม - เดือนกันยายนนี้ รวมไปถึงงบประมาณของรัฐบาลใหม่ที่จะมีการอนุมัติขึ้นในช่วงเดือน ตุลาคม - ธันวาคม 2552 ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่จะเข้ามากระทบในตราสารหนี้ทั้งสิ้น
ขณะเดียวกัน เชื่อว่าผลตอบแทนของตราสารหนี้ได้ผ่านจุดต่ำสุดมาแล้ว โดยดูได้จากอัตราดอกเบี้ยเชิงนโยบายที่ยังคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 1.25% ทั้งนี้ เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยเชิงนโยบายนั้นได้ขึ้นอยู่กับตัวเลขทางเศรษฐกิจเป็นหลัก หากตัวเลขเศรษฐกิจออกมาไม่ดี ก็จะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีกซึ่งหมายถึงเศรษฐกิจในประเทศยังไม่มีการฟื้นตัว แต่หากว่าตัวเลขเศรษฐกิจออกมาดีจะทำให้มีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเชิงนโยบาย ซึ่งหมายถึงเศรษฐกิจได้ฟื้นตัวแล้ว และจากปัจจัยต่างๆที่ที่เกิดขึ้นคาดว่าจะมีการคงอัตราดอกเบี้ยไปจนถึงสิ้นปีนี้ด้วย
"นักลงทุนที่ต้องการลงทุนในตราสารหนี้ การลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้น 3เดือน 6 เดือน หรือ 1ปี ถือเป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจ เพราะนอกจากระยะเวลาการลงทุนสั้นแล้ว ผลตอบแทนที่นักลงทุนจะได้รับนั้น สูงกว่าการลงทุนในตราสารหนี้ระยะยาวที่ผลตอบแทนค่อนข้างน้อย ซึ่งหากนักลงทุนยังคงมีความกังวลในเรื่องของผลตอบแทนจากการลงทุนในพันธบัตรระยะสั้น การเลือกลงทุนในกองทุนที่มีการกำหนดระยะเวลาและผลตอบแทนที่ชัดเจนจึงเป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจ โดยขณะนี้ ได้มีกองทุนรวมตราสารหนี้ระยะสั้นความเสี่ยงต่ำที่ให้ผลตอบแทนที่นักลงทุนสามารถรับได้มาให้นักลงทุนเลือกลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศด้วย"นางสาว พรอุมา กล่าว
ทั้งนี้ สำหรับกองทุนเปิด วรรณ ตราสารหนี้ต่างประเทศ 1Y/3 ที่บริษัทเปิดขายระหว่างวันที่ 17-23 มิถุนายน 2552 ที่ผ่านมานั้น กองทุนสามารถระดมทุนจากนักลงทุนได้ถึง 380 ล้านบาท โดยกองทุนดังกล่าว เน้นลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลเกาหลีใต้ หรือพันธบัตรธนาคารชาติเกาหลีใต้ หรือพันธบัตรภาครัฐไทย หรือเงินฝาก โดยตราสารที่ลงทุนจะมีอายุประมาณ 12 เดือน ซึ่งผลตอบแทนที่คาดว่าจะได้รับประมาณ 3.0% ต่อปี (โดยรวมการยกเว้นภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่ายด้วย)โดยที่ผ่านมากองทุนที่ลงทุนในเกาหลีได้รับการตอบรับจากนักลงทุนเป็นอย่างดี ทั้งในเรื่องของระยะเวลาการลงทุนและผลตอบแทนที่ได้รับ บริษัทจึงเตรียมที่จะจัดตั้งกองทุนใหม่ออกมาให้นักลงทุนได้ร่วมลงทุน โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการยื่นเรื่องต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)
นางสาวพรอุมา กล่าวอีกว่า การที่ธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด)ประกาศคงอัตราดอกเบี้ยในครั้งนี้ ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อประเทศไทยโดยตรง โดยคาดว่าเฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยไปอีกสักระยะหนึ่งและคาดว่าจะมีการคงอัตราดอกเบี้ยไปจนถึงสิ้นปี เนื่องจากสัญญาณการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของสหรัฐยังไม่มีให้เห็น
นางสาวพรอุมา เทวาหุดี ผู้จัดการกองทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม(บลจ.) วรรณ จำกัด เปิดเผยถึงการลงทุนในกองทุนตราสารหนี้ในช่วง 3-6 เดือนที่ผ่านมาว่า ผลตอบแทนของกองทุนตราสารหนี้ได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นทุกกอง โดยบริษัทมีการซื้อขายพันธบัตรในช่วงที่ตลาดมีความผันผวน พร้อมเพิ่มดูเรชั่นในช่วงที่ผลตอบแทนอยู่ในช่วงขาลง และอาศัยการซื้อมาขายไปจึงทำให้กองทุนมีกำไรและผลตอบแทนปรับตัวเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ในเดือนที่ผ่านมา ยิลด์ของพันธบัตรรัฐบาลปรับตัวเพิ่มขึ้น จึงทำให้ราคาของพันธบัตรรัฐบาลในตลาดรองปรับตัวลดลง
ทั้งนี้ ซัพพลายต่างๆที่จะเกิดขึ้น ทำให้นักทุนค่อนข้างที่จะกังวลในเรื่องของผลตอบแทนที่นักลงทุนจะได้รับจากการลงทุน และระมัดระวังในการซื้อขายตราสารหนี้ เนื่องจากนักลงทุนยังไม่เห็นความชัดเจนของซัพพลายที่จะเกิดขึ้น ทั้งในเรื่องของ พ.ร.ก. เงินกู้ 4 แสนล้านบาทที่ผ่านการอนุมัติแล้ว และจะมีการนำออกมาใช้ในช่วงเดือน กรกฎาคม - เดือนกันยายนนี้ รวมไปถึงงบประมาณของรัฐบาลใหม่ที่จะมีการอนุมัติขึ้นในช่วงเดือน ตุลาคม - ธันวาคม 2552 ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่จะเข้ามากระทบในตราสารหนี้ทั้งสิ้น
ขณะเดียวกัน เชื่อว่าผลตอบแทนของตราสารหนี้ได้ผ่านจุดต่ำสุดมาแล้ว โดยดูได้จากอัตราดอกเบี้ยเชิงนโยบายที่ยังคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 1.25% ทั้งนี้ เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยเชิงนโยบายนั้นได้ขึ้นอยู่กับตัวเลขทางเศรษฐกิจเป็นหลัก หากตัวเลขเศรษฐกิจออกมาไม่ดี ก็จะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีกซึ่งหมายถึงเศรษฐกิจในประเทศยังไม่มีการฟื้นตัว แต่หากว่าตัวเลขเศรษฐกิจออกมาดีจะทำให้มีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเชิงนโยบาย ซึ่งหมายถึงเศรษฐกิจได้ฟื้นตัวแล้ว และจากปัจจัยต่างๆที่ที่เกิดขึ้นคาดว่าจะมีการคงอัตราดอกเบี้ยไปจนถึงสิ้นปีนี้ด้วย
"นักลงทุนที่ต้องการลงทุนในตราสารหนี้ การลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้น 3เดือน 6 เดือน หรือ 1ปี ถือเป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจ เพราะนอกจากระยะเวลาการลงทุนสั้นแล้ว ผลตอบแทนที่นักลงทุนจะได้รับนั้น สูงกว่าการลงทุนในตราสารหนี้ระยะยาวที่ผลตอบแทนค่อนข้างน้อย ซึ่งหากนักลงทุนยังคงมีความกังวลในเรื่องของผลตอบแทนจากการลงทุนในพันธบัตรระยะสั้น การเลือกลงทุนในกองทุนที่มีการกำหนดระยะเวลาและผลตอบแทนที่ชัดเจนจึงเป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจ โดยขณะนี้ ได้มีกองทุนรวมตราสารหนี้ระยะสั้นความเสี่ยงต่ำที่ให้ผลตอบแทนที่นักลงทุนสามารถรับได้มาให้นักลงทุนเลือกลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศด้วย"นางสาว พรอุมา กล่าว
ทั้งนี้ สำหรับกองทุนเปิด วรรณ ตราสารหนี้ต่างประเทศ 1Y/3 ที่บริษัทเปิดขายระหว่างวันที่ 17-23 มิถุนายน 2552 ที่ผ่านมานั้น กองทุนสามารถระดมทุนจากนักลงทุนได้ถึง 380 ล้านบาท โดยกองทุนดังกล่าว เน้นลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลเกาหลีใต้ หรือพันธบัตรธนาคารชาติเกาหลีใต้ หรือพันธบัตรภาครัฐไทย หรือเงินฝาก โดยตราสารที่ลงทุนจะมีอายุประมาณ 12 เดือน ซึ่งผลตอบแทนที่คาดว่าจะได้รับประมาณ 3.0% ต่อปี (โดยรวมการยกเว้นภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่ายด้วย)โดยที่ผ่านมากองทุนที่ลงทุนในเกาหลีได้รับการตอบรับจากนักลงทุนเป็นอย่างดี ทั้งในเรื่องของระยะเวลาการลงทุนและผลตอบแทนที่ได้รับ บริษัทจึงเตรียมที่จะจัดตั้งกองทุนใหม่ออกมาให้นักลงทุนได้ร่วมลงทุน โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการยื่นเรื่องต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)
นางสาวพรอุมา กล่าวอีกว่า การที่ธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด)ประกาศคงอัตราดอกเบี้ยในครั้งนี้ ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อประเทศไทยโดยตรง โดยคาดว่าเฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยไปอีกสักระยะหนึ่งและคาดว่าจะมีการคงอัตราดอกเบี้ยไปจนถึงสิ้นปี เนื่องจากสัญญาณการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของสหรัฐยังไม่มีให้เห็น