xs
xsm
sm
md
lg

บีทีเดินหน้าเพิ่มยอดเอยูเอ็ม ปีเสือเน้นFIF-กองอสังหาฯ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

บลจ.บีที เผยยอดเอยูเอ็มสินปีนี้ได้ 17,000 ล้านบาท ตกวูบเมื่อเทียบกับปี 51 พร้อมเผยแผนงานปีเสือดุ เตรียมเปิดกองทุนเพิ่มอีก 10 กองทุน รุกพร็อพเพอร์ตี้ฟันด์ และกองทุนเอฟไอเอฟเป็นหลัก
นายอนุสรณ์ บูรณกานนท์
นายอนุสรณ์ บูรณกานนท์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) บีที จำกัด เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานในปีนี้ว่า บริษัทมีสินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการ หรือ เอยูเอ็ม จำนวนทั้งสิ้น 17,000 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นกองทุนรวมจำนวน 9,000 ล้านบาท และส่วนที่เหลือเป็นกองทุนส่วนบุคคล กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ แต่ลดลงเมื่อเทียบกับช่วงสิ้นปี 2551 ที่มียอดเอยูเอ็มมีอยู่ที่ 19,000 ล้านบาท ซึ่งก่อนหน้านี้ บลจ.บีทีตั้งเป้าหมายเอยูเอ็มในการเติบโตของปี 2552 ปี ประมาณ 10-15% แต่ปัจจุบันจำนวนเอยูเอ็มลดลงไปกว่า -10%

สำหรับแผนการดำเนินงานในปี 2553 บริษัทมีแผนที่จะเปิดกองทุนใหม่ ๆ เพิ่มขึ้นอีก 7 - 10 กองทุน โดยบริษัทจะมีทั้งกองทุนรวมต่างประเทศ หรือเอฟไอเอฟ ที่มีนโยบายการลงทุนในหุ้นต่างประเทศและในตราสารหนี้ที่ลงทุนในตั๋วสัญญาใช้เงินที่มีลักษณะของสัญญาซื้อขายล่วงหน้าแฝงหรือ สตรัคเจอร์โน๊ต จำนวน 4 - 6 กอง ส่วนที่เหลืออีกประมาณ 3 - 4 กองทุน จะเป็นกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ หรือพร็อพเพอร์ตี้ฟันด์

ทั้งนี้บริษัทเล็งเห็นว่ากองทุนรวมเอฟไอเอ็ม ยังคงมีความน่าสนใจและถือว่าเป็นอีกหนึ่งทางเลือกให้แก่นักลงทุน เนื่องจากว่ากองทุนในต่างประเทศบริษัทจะเข้าไปลงทุน ในตลาดหุ้นอาเซียน จีน หรืออินเดีย ส่วนกองทุนที่ลงทุนในตลาดหุ้นไทยนั้นอยู่ระหว่างการพิจารณากองที่ลงทุนใน SET50 โดยบริษัทได้ตั้งตั้งเป้าในปีหน้าว่าจะพยายามออกกองทุนใหม่ ๆ ให้ได้อย่างน้อยไตรมาสละ 1 กองทุน

นอกจากนี้แล้วบริษัทยังมีแผนที่จะออกกองทุนรวมตราสารหนี้ทั่วไปที่มีอายุโครงการประมาณ 3 - 6 เดือน เพิ่มขึ้นอีกด้วย เพื่อเป็นการรองรับกับกลุ่มลูกค้ากองทุนรวมตราสารหนี้ที่มีนโยบายลงทุนในพันธบัตรเกาหลีใต้ที่จะครบกำหนดของกองทุนในช่วงต้นปีหน้า ซึ่งกองทุนรวมตราสารหนี้ส่วนใหญ่ที่จะออกยังคงเน้นกองทุนรวมที่มีเป็นระยะสั้นอยู่ เนื่องจากว่าในช่วงปีหน้าอัตราดอกเบี้ยจะมีการปรับขึ้น การลงทุนระยะสั้นน่าจะเหมาะสมกว่าการลงทุนในระยะยาว

นายอนุสรณ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ในส่วนของกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์บริษัทจะเน้นออกกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ที่ไปซื้ออสังหาริมทรัพย์ มาเป็นเจ้าของ หรือ Free Hold มากกว่าที่จะกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ที่ไปซื้อ สิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ มาเป็นเจ้าของหรือ Lease Hold เพราะกองทุนที่เป็นประเภท Free Hold จะมีความน่าสนใจมากกว่า ที่เป็นประเภท Lease Hold โดยกองทุนดังกล่าวที่บริษัทจะให้ความสนใจจะเป็นโครงการที่อยู่ตามหัวเมืองใหญ่ หรือเมืองที่เป็นการค้าการท่องเที่ยว เช่น และสถานที่ตั้งของอสังหาริมทรัพย์นั้นต้องตั้งอยู่ในจังหวัดหัวเมือง หรือเมืองที่เป็นการค้าการท่องเที่ยว เช่น ภูเก็ต สมุย และมีทำเลติดกับชายหาดทะเล เพื่อให้ได้ลูกค้าทั้งในและต่างประเทศ

โดยบริษัทจะพิจารณาลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นโรงแรมที่มีประวัติการดำเนินงานตั้งแต่ 4 - 5 ปีขึ้นไป เพราะเชื่อว่ามีความเสี่ยงน้อยกว่าโรงแรมที่เปิดใหม่ และมีระดับ 3 - 4 ดาวเท่านั้น เนื่องจากโรงแรมระดับ 5-6 ดาวจะหายากมาก ตลาดเหลือน้อยแล้ว ทำให้บริษัทหันไปมองหาโรงแรมขนาดเล็ก แต่มีอัตราการเข้าพักสูง ติดชายหาดทะเล และบริหารโดยกลุ่มเครือข่ายต่างประเทศ เพื่อช่วยแบ่งเบาความเสี่ยง ซึ่งบริษัทเชื่อว่านักท่องเที่ยวยังชอบเที่ยวทะเลอยู่ และมั่นใจว่าเขาจะดึงลูกค้าต่างชาติเข้ามาอย่างแน่นอน
กำลังโหลดความคิดเห็น