บลจ.แอสเซท พลัส เผยผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลปรับลง หลังตลาดคาดการณ์ทั่วโลกคงดอกเบี้ยฟื้นเศรษฐกิจต่อ แนะนักลงทุนปรับกลยุทธ์ เก็บบอนด์สั้นไม่เกิน 1 ปีเข้าพอร์ต ก่อนรอจังหวะเข้ารอบใหม่ หลังความผันผวนลด ล่าสุด เปิดขายบอนด์กิมจิเป็นทางเลือก ล็อกเงิน 10 เดือนให้ผลตอบแทน 2.10%
นายวิน อุดมรัชตวนิชย์ รองกรรมการผู้จัดการ และหัวหน้าเจ้าหน้าที่บริหารการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) แอสเซท พลัส จำกัด เปิดเผยถึงแนวโน้มการลงทุนในตราสารหนี้ว่า อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยปรับลดลงไปพอสมควร ซึ่งเป็นไปตามการเคลื่อนไหวของตลาดพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ และจากการที่นักลงทุนเชื่อมั่นว่าธนาคารกลางและภาครัฐของประเทศต่างๆจะยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ในระดับต่ำ พร้อมดำเนินนโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจต่อเนื่องไปจนถึงช่วงกลางปีหน้า
ขณะเดียวกัน การที่อัตราเงินเฟ้อในเดือนตุลาคมที่ผ่านมาในหลายประเทศยังแสดงให้เห็นว่า อัตราเงินเฟ้อยังไม่น่าจะเป็นปัจจัยที่น่าจะกดดันตลาดในระยะสั้น ทำให้นักลงทุนมีความเชื่อมั่นเพิ่มขึ้น โดยบริษัทคาดว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยจะปรับตัวลดลงต่อได้อีกเล็กน้อย ซึ่งมาจากแรงซื้อต่อเนื่องของนักลงทุนสถาบัน และได้รับแรงหนุนจากการที่นักลงทุนขายสินทรัพย์เสี่ยง เช่น หุ้น พร้อมทั้งปรับพอร์ตเข้าตราสารหนี้มากขึ้น ด้านตัวเลข GDP ไตรมาส 3 ปีที่ประกาศออกมาที่ระดับ -2.80% เมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อนหน้าถือว่าดีกว่าที่ตลาดคาดการณ์ที่ -3% เล็กน้อย จึงไม่น่าจะมีผลกระทบต่อบรรยากาศการลงทุนในตราสารหนี้มากนัก
อย่างไรก็ตาม คาดว่าตลาดตราสารหนี้ไทยในช่วงต่อไปน่าจะมีความผันผวนค่อนข้างมากจากปัจจัยทั้งในและต่างประเทศ จึงแนะนำให้นักลงทุนที่ต้องการลดความผันผวนปรับกลยุทธ์มาลงทุนเพิ่มในกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้นๆ ไม่เกิน 1 ปี เพื่อรอจังหวะลงทุนในช่วงต่อไป
อย่างไรก็ตาม สำหรับนักลงทุนที่ต้องการลงทุนในตราสารหนี้ต่างประเทศ การลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลเกาหลีใต้ ถือเป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจ แม้ผลตอบแทนโดยรวมจะมีการปรับตัวลดลงมาบ้างจากส่วนต่างของค่าป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน (Swap Rate) ที่ปรับตัวแคบลง โดยเป็นผลจากการที่เศรษฐกิจเกาหลีใต้มีการปรับดีขึ้น และการแข็งค่าของเงินวอนในช่วงที่ผ่านมา แต่ผลตอบแทนยังคงอยู่ในระดับสูงเมื่อเปรียบเทียบกับอัตราผลตอบแทนจากการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลไทย จึงยังเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ
นายวินกล่าวอีกว่า ในวันที่ 30 พฤศจิกายน นี้ บริษัทฯ จะเปิดขายและรับซื้อคืนรอบใหม่กองทุนเปิดแอ็คทีฟเอฟไอเอฟ 4 (ACFIF4) ซึ่งเป็นกองทุนตราสารหนี้ต่างประเทศ ที่มีนโยบายลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลเกาหลีใต้ (Korea Monetary Stabilization Bond (MSB)) มีอายุประมาณ 10 เดือน โดยคาดว่ากองทุนจะสามารถให้ผลตอบแทนหลังจากทำธุรกรรมป้องกันความเสี่ยงเต็มจำนวนและหักค่าใช้จ่ายกองทุนแล้ว อยู่ที่ประมาณ 2.10 % ต่อปี
นอกจากนี้ สำหรับนักลงทุนที่ต้องการลงทุนในตราสารหนี้ในประเทศระยะเวลาประมาณ 3 เดือน โดยต้องการผลตอบแทนที่สูงกว่าอัตราผลตอบแทนเงินฝากประจำ 3 เดือน บริษัทขอแนะนำกองทุนเปิดแอสเซทพลัสตราสารหนี้ 2 (ASP2) ซึ่งเป็นกองทุนตราสารหนี้ ซึ่งนักลงทุนสามารถซื้อได้ทุกวันทำการ และขายคืนหน่วยลงทุนได้ทุก 16 วัน ซึ่งพอร์ตการลงทุนปัจจุบัน กองทุนได้ลงทุนในตราสารหนี้ภาครัฐและเอกชนระยะสั้นที่ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือตั้งแต่ BBB+ ขึ้นไป โดยในส่วนของหุ้นกู้เอกชนจะเน้นลงทุนในผู้ออกตราสารที่มีความสามารถในการชำระหนี้และผลประกอบการจากการดำเนินงานที่ได้ดีมาก และเป็นบริษัทที่มีแนวโน้มการเติบโตทางธุรกิจค่อนข้างสูง
ปัจจุบันกองทุนมีการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลประมาณ 15-30% ของมูลค่าสินทรัพย์สุทธิของกองทุน และ อีก 40-70%ในหุ้นกู้และตราสารหนี้ระยะสั้นของภาคเอกชน โดยอายุเฉลี่ยของตราสาร (Duration) อยู่ที่ประมาณ 3 เดือน จึงแนะนำให้นักลงทุนถือหน่วยลงทุนประมาณ 3 เดือน เพื่อโอกาสรับผลตอบแทนที่ดีกว่า
นายวิน อุดมรัชตวนิชย์ รองกรรมการผู้จัดการ และหัวหน้าเจ้าหน้าที่บริหารการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) แอสเซท พลัส จำกัด เปิดเผยถึงแนวโน้มการลงทุนในตราสารหนี้ว่า อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยปรับลดลงไปพอสมควร ซึ่งเป็นไปตามการเคลื่อนไหวของตลาดพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ และจากการที่นักลงทุนเชื่อมั่นว่าธนาคารกลางและภาครัฐของประเทศต่างๆจะยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ในระดับต่ำ พร้อมดำเนินนโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจต่อเนื่องไปจนถึงช่วงกลางปีหน้า
ขณะเดียวกัน การที่อัตราเงินเฟ้อในเดือนตุลาคมที่ผ่านมาในหลายประเทศยังแสดงให้เห็นว่า อัตราเงินเฟ้อยังไม่น่าจะเป็นปัจจัยที่น่าจะกดดันตลาดในระยะสั้น ทำให้นักลงทุนมีความเชื่อมั่นเพิ่มขึ้น โดยบริษัทคาดว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยจะปรับตัวลดลงต่อได้อีกเล็กน้อย ซึ่งมาจากแรงซื้อต่อเนื่องของนักลงทุนสถาบัน และได้รับแรงหนุนจากการที่นักลงทุนขายสินทรัพย์เสี่ยง เช่น หุ้น พร้อมทั้งปรับพอร์ตเข้าตราสารหนี้มากขึ้น ด้านตัวเลข GDP ไตรมาส 3 ปีที่ประกาศออกมาที่ระดับ -2.80% เมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อนหน้าถือว่าดีกว่าที่ตลาดคาดการณ์ที่ -3% เล็กน้อย จึงไม่น่าจะมีผลกระทบต่อบรรยากาศการลงทุนในตราสารหนี้มากนัก
อย่างไรก็ตาม คาดว่าตลาดตราสารหนี้ไทยในช่วงต่อไปน่าจะมีความผันผวนค่อนข้างมากจากปัจจัยทั้งในและต่างประเทศ จึงแนะนำให้นักลงทุนที่ต้องการลดความผันผวนปรับกลยุทธ์มาลงทุนเพิ่มในกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้นๆ ไม่เกิน 1 ปี เพื่อรอจังหวะลงทุนในช่วงต่อไป
อย่างไรก็ตาม สำหรับนักลงทุนที่ต้องการลงทุนในตราสารหนี้ต่างประเทศ การลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลเกาหลีใต้ ถือเป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจ แม้ผลตอบแทนโดยรวมจะมีการปรับตัวลดลงมาบ้างจากส่วนต่างของค่าป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน (Swap Rate) ที่ปรับตัวแคบลง โดยเป็นผลจากการที่เศรษฐกิจเกาหลีใต้มีการปรับดีขึ้น และการแข็งค่าของเงินวอนในช่วงที่ผ่านมา แต่ผลตอบแทนยังคงอยู่ในระดับสูงเมื่อเปรียบเทียบกับอัตราผลตอบแทนจากการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลไทย จึงยังเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ
นายวินกล่าวอีกว่า ในวันที่ 30 พฤศจิกายน นี้ บริษัทฯ จะเปิดขายและรับซื้อคืนรอบใหม่กองทุนเปิดแอ็คทีฟเอฟไอเอฟ 4 (ACFIF4) ซึ่งเป็นกองทุนตราสารหนี้ต่างประเทศ ที่มีนโยบายลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลเกาหลีใต้ (Korea Monetary Stabilization Bond (MSB)) มีอายุประมาณ 10 เดือน โดยคาดว่ากองทุนจะสามารถให้ผลตอบแทนหลังจากทำธุรกรรมป้องกันความเสี่ยงเต็มจำนวนและหักค่าใช้จ่ายกองทุนแล้ว อยู่ที่ประมาณ 2.10 % ต่อปี
นอกจากนี้ สำหรับนักลงทุนที่ต้องการลงทุนในตราสารหนี้ในประเทศระยะเวลาประมาณ 3 เดือน โดยต้องการผลตอบแทนที่สูงกว่าอัตราผลตอบแทนเงินฝากประจำ 3 เดือน บริษัทขอแนะนำกองทุนเปิดแอสเซทพลัสตราสารหนี้ 2 (ASP2) ซึ่งเป็นกองทุนตราสารหนี้ ซึ่งนักลงทุนสามารถซื้อได้ทุกวันทำการ และขายคืนหน่วยลงทุนได้ทุก 16 วัน ซึ่งพอร์ตการลงทุนปัจจุบัน กองทุนได้ลงทุนในตราสารหนี้ภาครัฐและเอกชนระยะสั้นที่ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือตั้งแต่ BBB+ ขึ้นไป โดยในส่วนของหุ้นกู้เอกชนจะเน้นลงทุนในผู้ออกตราสารที่มีความสามารถในการชำระหนี้และผลประกอบการจากการดำเนินงานที่ได้ดีมาก และเป็นบริษัทที่มีแนวโน้มการเติบโตทางธุรกิจค่อนข้างสูง
ปัจจุบันกองทุนมีการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลประมาณ 15-30% ของมูลค่าสินทรัพย์สุทธิของกองทุน และ อีก 40-70%ในหุ้นกู้และตราสารหนี้ระยะสั้นของภาคเอกชน โดยอายุเฉลี่ยของตราสาร (Duration) อยู่ที่ประมาณ 3 เดือน จึงแนะนำให้นักลงทุนถือหน่วยลงทุนประมาณ 3 เดือน เพื่อโอกาสรับผลตอบแทนที่ดีกว่า