บลจ.เอ็มเอฟซี มอบของขวัญปีใหม่ลูกค้า จ่ายปันผล 3 กองทุนรวม ผู้ถือหน่วย อิสลามิก ฟันด์ ได้เฮ รับหน่วยลงทุนละ 1.69 บาท
รายงานข่าวบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า คณะกรรมการนโยบายการลงทุนของบริษัท ได้พิจารณาและมีมติให้จ่ายเงินปันผลสำหรับกองทุนภายใต้การบริหารจำนวน 3 กองทุน ประกอบด้วย กองทุนเปิดเอ็มเอฟซี อิสลามิก ฟันด์ (MIF) กองทุนเปิดเอ็มเอฟซีเพิ่มค่าหุ้นระยะยาว (MVLTF) และกองทุนเปิดสมาร์ทแคช (SMART)
โดยในส่วนของ กองทุนเปิดเอ็มเอฟซี อิสลามิก ฟันด์ ซึ่งมีนโยบายลงทุนในหุ้นตามหลักศาสนาอิสลาม ให้จ่ายเงินปันผลจากผลการดำเนินงานสำหรับรอบระยะเวลาบัญชีตั้งแต่ วันที่ 1 มกราคม 2552 – 31 ธันวาคม 2552 ในอัตราหน่วยลงทุนละ 1.69 บาท แก่ผู้ถือหน่วยลงทุนที่มีชื่อในวันปิดสมุดทะเบียน ในวันที่ 18 มกราคม 2553 โดยกำหนดจ่ายเงินปันผล ในวันที่ 26 มกราคม 2553
ในขณะที่กองทุนเปิดเอ็มเอฟซีเพิ่มค่าหุ้นระยะยาว จะจ่ายเงินปันผลสำหรับรอบระยะเวลาบัญชีตั้งแต่ วันที่ 1 มกราคม 2552 – 31 ธันวาคม 2552 โดยบริษัทจะปิดสมุดทะเบียนพักการโอนหน่วยลงทุนในวันที่ 18 มกราคม 2553 เพื่อพิจารณาการจ่ายเงินปันผลต่อไป
ส่วนกองทุนเปิดสมาร์ทแคช กองทุนตราสารหนี้ ที่ลงทุนในตราสารทางการเงินระยะสั้น คณะกรรมการนโยบายการลงทุน ได้พิจารณาและมีมติให้จ่ายเงินปันผล จากผลการดำเนินงานสำหรับรอบระยะเวลาบัญชีตั้งแต่ วันที่ 1 มกราคม 2552 – 31 ธันวาคม 2552 ในอัตราหน่วยลงทุนละ 0.13 บาทแก่ผู้ถือหน่วยลงทุนที่มีชื่อในวันปิดสมุดทะเบียน ในวันที่ 15 มกราคม 255 โดยกำหนดจ่ายเงินปันผล ในวันที่ 22 มกราคม 2553
ก่อนหน้านี้ นายพิชิต อัคราทิตย์ กรรมการผู้จัดการ บลจ. เอ็มเอฟซีระบุว่า แนวทางในการบริหารกองทุนหุ้นของบริษัทในปีนี้ ยังคงเน้นนโยบาย Active เหมือนเดิม ซึ่งเรามองว่าการจัดสัดส่วนเงินสด และเงินลงทุนต้องเร็ว โดยการอาศัยจังหวะการลงทุนที่เหมาะสม
ซึ่งกลยุทธ์การลงทุนปีเอง มองว่าหุ้นที่น่าลงทุน จะเป็นหุ้นที่ได้รับประโยชน์จากการกระตุ้นเศรษฐกิจและฟื้นตัวของเศรษฐกิจ เช่น หุ้นที่เกี่ยวข้องกับสาธารณูปโปคของประเทศ กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ วัสดุก่อสร้าง และแน่นอนหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ ซึ่งจะเกาะไปกับระบบการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศ ส่วนหุ้นกลุ่มพลังงาน ซึ่งยังมีปัจจัยลบเรื่องของปัญหามาบตาพุดนั้น เชื่อว่าระยะกลางหลังจากนี้ ก็น่าจะฟื้นตัวได้
ทั้งนี้ แนวโน้มดัชนีหุ้นไทย ยังต้องเผชิญความเสี่ยงสำคัญอยู่หลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของปัญหาการเมืองในประเทศ ปัญหาเรื่องการบังคับใช้กฏหมาย กรณีระงับโครงการลงทุนมาบตาพุด 65 โครงการ ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ จะยังทำให้หุ้นไทยผันผวนต่อ