"พิชิต" รับ วายุภักษ์ 1 หนีไม่พ้นพิษมาบตาพุด ระบุเสียหายกว่า 4% หรือกว่า 8 พันล้านบาท เหตุราคาหุ้นปตท. ร่วง ย้ำผู้ถือหน่วยรายย่อยไม่น่าห่วง หลังหุ้นในพอร์ตตัวอื่นปรับขึ้น ส่วนผลขาดทุนโยนคลังแบกภาระไป คาดผลตอบแทนทั้งปีนี้ สูงกว่าปีก่อน โชว์กำไรสะสมอู่ฟู่กว่า 4.7 หมื่นล้าน
นายพิชิต อัคราทิตย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) ในฐานะผู้จัดการกองทุนรวมวายุภักษ์ 1 เปิดเผยว่า กองทุนวายุภักษ์ 1 ได้รับผลกระทบจากการระงับ 76 โครงการในพื้นที่มาบตาพุดเช่นกัน โดยหุ้นที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด คือหุ้น ปตท เพราะกองทุนมีสัดส่วนการลงทุนสูงสุดถึง 53% โดยผลกระทบที่เกิดจากการปรับราคาลงของหุ้นปตทนั้น ส่งผลให้มูลค่าลดลงไปประมาณ 4% หรือคิดเป็นมูลค่ารวมกว่า 8,000 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม ผลกระทบที่เกิดขึ้นดังกล่าว ไม่ได้ส่งผลต่อผลตอบแทนโดยรวมของกองทุน เนื่องจากหุ้นตัวอื่นที่กองทุนถืออยู่มีราคาสูงขึ้น ดังนั้น จึงสามารถชดเชยส่วนที่ลดลงจากหุ้น ปตท ได้หมด
"ผลกระทบจากการลดลงของราคาหุ้น ปตท ในส่วนนี้ ทางกระทรวงการคลังจะเป็นผู้แบกรับภาระทั้งหมด ส่วนผู้ถือหน่วยรายย่อย ก็จะได้รับประโยชน์จากการที่ราคาหุ้นตัวอื่นปรับขึ้น ดังนั้น ผู้ถือหน่วยรายย่อยจึงสบายใจได้ว่า ปัญหามาบตาพุด จะไม่กระทบผลตอบแทนที่ผู้ถือหน่วยจะได้รับแน่นอน"นายพิชิตกล่าว
นายพิชิตกล่าวต่อว่า สำหรับกรณีปัญหามาบตาพุด ผู้จัดการกองทุนเองประเมินแล้วว่าได้ผ่านพ้นจุดต่ำสุดไปแล้ว ในขณะเดียวกัน ราคาหุ้นเองก็สะท้อนข่าวไปหมดแล้วเช่นกัน ตอนนี้รอแค่โรงงานที่ถูกระงับ กลับมาเปิดใช้งานหรือเดินหน้าลงทุนต่อเท่านั้น หลังจากนั้นก็เชื่อว่าราคาจะปรับขึ้นไปตามไปด้วย อย่างไรก็ตาม เรามองว่าท้ายที่สุดแล้วปัญหาดังกล่าวจะได้รับการแก้ไขและหาทางออกได้โดยดี แต่อาจจะต้องใช้เวลาเท่านั้น ซึ่งผลกระทบที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมา ก็ไม่มากอย่างที่หลายฝ่ายวิตกด้วย
ปัจจุบัน กองทุนวายุภักษ์ มีกำไรสะสมอยู่ค่อนข้างสูง โดยมีมูลค่าอยู่ถึง 47,848.55 ล้านบาท ซึ่งในส่วนนี้ มีการสำรองจ่ายเงินปันผลเอาไว้แล้วจำนวน 8,400 ล้านบาท ซึ่งเป็นการสำรองผลตอบแทนอีก 4 ปีที่เหลือ ในจำนวนปีละ 2,100 ล้านบาท
สำหรับผลตอบแทนทั้งปีนี้ นายพิชิตกล่าวว่า แม้ว่าจะมีปัจจัยลบซึ่งกระทบต่อการลงทุนของกองทุน แต่ก็เชื่อว่าปีนี้ กองทุนน่าจะสามารถจ่ายผลตอบแทนให้กับผู้ถือหน่วยรายย่อยได้สูงกว่าปีที่ผ่านมา ที่จ่ายไปในอัตรา 4.5% ซึ่งเป็นอัตราผลตอบแทนที่ต่ำที่สุดตั้งแต่จัดตั้งกองทุนมา โดยในปีนี้เอง กองทุนได้จ่ายผลตอบแทนในช่วงครึ่งปีแรกไปแล้ว 3%
ส่วนความเสี่ยงที่จะมีผลกระทบต่อกองทุนในปีหน้า มองว่าปีนี้เองในส่วนของภาพรวมเศรษฐกิจได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว ดังนั้น ผลกระทบในปีหน้าจึงไม่น่าจะมีมากนัก อย่างไรก็ตาม ในแง่ของปัญหาการเมืองเองอาจจะมีบ้าง แต่ว่ากำไรสะสมที่กองทุนมีอยู่จึงเชื่อว่ากองทุนจะสามารถรับภาระความเสี่ยงได้อย่างไม่มีปัญหา
นายพิชิต อัคราทิตย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) ในฐานะผู้จัดการกองทุนรวมวายุภักษ์ 1 เปิดเผยว่า กองทุนวายุภักษ์ 1 ได้รับผลกระทบจากการระงับ 76 โครงการในพื้นที่มาบตาพุดเช่นกัน โดยหุ้นที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด คือหุ้น ปตท เพราะกองทุนมีสัดส่วนการลงทุนสูงสุดถึง 53% โดยผลกระทบที่เกิดจากการปรับราคาลงของหุ้นปตทนั้น ส่งผลให้มูลค่าลดลงไปประมาณ 4% หรือคิดเป็นมูลค่ารวมกว่า 8,000 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม ผลกระทบที่เกิดขึ้นดังกล่าว ไม่ได้ส่งผลต่อผลตอบแทนโดยรวมของกองทุน เนื่องจากหุ้นตัวอื่นที่กองทุนถืออยู่มีราคาสูงขึ้น ดังนั้น จึงสามารถชดเชยส่วนที่ลดลงจากหุ้น ปตท ได้หมด
"ผลกระทบจากการลดลงของราคาหุ้น ปตท ในส่วนนี้ ทางกระทรวงการคลังจะเป็นผู้แบกรับภาระทั้งหมด ส่วนผู้ถือหน่วยรายย่อย ก็จะได้รับประโยชน์จากการที่ราคาหุ้นตัวอื่นปรับขึ้น ดังนั้น ผู้ถือหน่วยรายย่อยจึงสบายใจได้ว่า ปัญหามาบตาพุด จะไม่กระทบผลตอบแทนที่ผู้ถือหน่วยจะได้รับแน่นอน"นายพิชิตกล่าว
นายพิชิตกล่าวต่อว่า สำหรับกรณีปัญหามาบตาพุด ผู้จัดการกองทุนเองประเมินแล้วว่าได้ผ่านพ้นจุดต่ำสุดไปแล้ว ในขณะเดียวกัน ราคาหุ้นเองก็สะท้อนข่าวไปหมดแล้วเช่นกัน ตอนนี้รอแค่โรงงานที่ถูกระงับ กลับมาเปิดใช้งานหรือเดินหน้าลงทุนต่อเท่านั้น หลังจากนั้นก็เชื่อว่าราคาจะปรับขึ้นไปตามไปด้วย อย่างไรก็ตาม เรามองว่าท้ายที่สุดแล้วปัญหาดังกล่าวจะได้รับการแก้ไขและหาทางออกได้โดยดี แต่อาจจะต้องใช้เวลาเท่านั้น ซึ่งผลกระทบที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมา ก็ไม่มากอย่างที่หลายฝ่ายวิตกด้วย
ปัจจุบัน กองทุนวายุภักษ์ มีกำไรสะสมอยู่ค่อนข้างสูง โดยมีมูลค่าอยู่ถึง 47,848.55 ล้านบาท ซึ่งในส่วนนี้ มีการสำรองจ่ายเงินปันผลเอาไว้แล้วจำนวน 8,400 ล้านบาท ซึ่งเป็นการสำรองผลตอบแทนอีก 4 ปีที่เหลือ ในจำนวนปีละ 2,100 ล้านบาท
สำหรับผลตอบแทนทั้งปีนี้ นายพิชิตกล่าวว่า แม้ว่าจะมีปัจจัยลบซึ่งกระทบต่อการลงทุนของกองทุน แต่ก็เชื่อว่าปีนี้ กองทุนน่าจะสามารถจ่ายผลตอบแทนให้กับผู้ถือหน่วยรายย่อยได้สูงกว่าปีที่ผ่านมา ที่จ่ายไปในอัตรา 4.5% ซึ่งเป็นอัตราผลตอบแทนที่ต่ำที่สุดตั้งแต่จัดตั้งกองทุนมา โดยในปีนี้เอง กองทุนได้จ่ายผลตอบแทนในช่วงครึ่งปีแรกไปแล้ว 3%
ส่วนความเสี่ยงที่จะมีผลกระทบต่อกองทุนในปีหน้า มองว่าปีนี้เองในส่วนของภาพรวมเศรษฐกิจได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว ดังนั้น ผลกระทบในปีหน้าจึงไม่น่าจะมีมากนัก อย่างไรก็ตาม ในแง่ของปัญหาการเมืองเองอาจจะมีบ้าง แต่ว่ากำไรสะสมที่กองทุนมีอยู่จึงเชื่อว่ากองทุนจะสามารถรับภาระความเสี่ยงได้อย่างไม่มีปัญหา