"วายุภักษ์ 2" ใกล้คลอด บิ้กเอ็มเอฟซีระบุ เพดานกู้เงินจำกัดเมื่อไหร่ แจ้งเกิดแน่ เผยรูปแบบกองทุนคล้ายกองทุนรวมทั่วไป โดยเน้นลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเป็นหลัก คาดเป็นไปได้หลังไตรมาส 2
นายพิชิต อัคราทิตย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในปี 2553 มีความเป็นไปได้ที่กองทุนวายุภักษ์ 2 จะได้รับความสนใจจากภาครัฐ ในการใช้เป็นช่องทางระดมทุนเพื่อการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของรัฐบาล ทั้งนี้ มองว่าน่าเป็นจังหวะเวลาที่เหมาะสม เพราะแนวทางในการการกู้เงินจำกัดมากขึ้น โดยเฉพาะในช่วงที่หนี้สาธารณะเกินกรอบที่กำหนดเอาไว้ ซึ่งคลังเองกำหนดเอาไว้ที่ไม่เกิน 50% ของจีดีพี ซึ่งในส่วนนี้เชื่อว่าทางกระทรวงการคลังเองยังไม่อยากเห็น
ทั้งนี้ รูปแบบของวายุภักษ์ 2 นั้น เดิมทีมีการวางเอาไว้ตั้งแต่ 6 ปีก่อน พร้อมกับกองทุนรวมวายุภักษ์ 1 แต่กรอบการลงทุนไม่เหมือนกัน โดยเฉพาะเรื่องของผลตอบแทนและความเสี่ยง ซึ่งเบื้องต้น รูปแบบการระดมทุนจะเหมือนกับกองทุนรวมทั่วไป แต่จะมุ่งลงทุนและหาผลตอบแทนจากโครงการพื้นฐานของภาครัฐ
อย่างไรก็ตาม หลังจากนี้คงต้องมีการทบทวนรูปแบบการลงทุนใหม่อีกครั้ง เนื่องจากสถานการณ์เปลี่ยนไปจากเดิมค่อนข้างมาก โดยเฉพาะ 2 ประเด็นหลัก นั่นคือ การใช้เงินของรัฐบาล เพราะโครงการต่างๆที่รัฐจะลงทุนตั้งแต่ 6 ปีที่ผ่านมา เปลี่ยนไป บางโครงการลงทุนไปแล้วด้วยการใช้เงินกู้ หรือบางโครงการอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงไป อีกประเด็นหนึ่งคือ ความต้องการของนักลงทุน ซึ่งเดิมทีการลงทุนในกองทุนรวมอาจจะอยู่ไกลนักลงทุน แต่ระยะเวลาที่ผ่านมา ความเข้าใจของนักลงทุนที่มีต่อกองทุนรวมเองเปลี่ยนแปลงไปมาก ส่วนใหญ่มีความเข้าใจมากขึ้น โดยเฉพาะประเด็นที่ให้ผลตอบแทนมากกว่าเงินฝาก ดังนั้น จึงทำให้ที่มาของเงินเปลี่ยนไป
นายพิชิตกล่าวว่า สำหรับความเป็นไปได้ที่จะตั้งกองทุนวายุภักษ์ 2 นั้น คาดว่าจะอยู่ช่วงหลังไตรมาส 2 ของปี ส่วนมูลค่าจะเป็นเท่าไหร่นั้น คงจะถูกกำหนดด้วยโครงการลงทุนส่วนที่รัฐได้สนับสนุน โดยการใช้งบประมาณและการกู้เงิน ซึ่งในส่วนที่เหลือต้องดูด้วยว่า โครงสร้างพื้นฐานที่รัฐต้องการลงทุนนั้นมีรายได้หรือไม่ เพราะถ้าไม่มีรายได้ ก็ทำไม่ได้ นอกจากนี้ ต้องดูความต้องการของนักลงทุนควบคู่ไปด้วย อย่างไรก็ตาม กรอบการลงทุนของกองทุนสาธารณูปโภคเอง ปัจจุบันกำหนดกรอบขั้นต่ำเอาไว้ที่ 5,000 ล้านบาท
สำหรับผลการดำเนินงานของกองทุนวายุภักษ์ 1 นายพิชิตกล่าวไว้ก่อนหน้านี้ว่า ปัจจุบันกองทุนมีกำไรสะสมอยู่ค่อนข้างสูง โดยมีมูลค่าอยู่ถึง 47,848.55 ล้านบาท ซึ่งในส่วนนี้ มีการสำรองจ่ายเงินปันผลเอาไว้แล้วจำนวน 8,400 ล้านบาท ซึ่งเป็นการสำรองผลตอบแทนอีก 4 ปีที่เหลือ ในจำนวนปีละ 2,100 ล้านบาท
สำหรับผลตอบแทนทั้งปี 2552 นายพิชิตกล่าวว่า แม้ว่าจะมีปัจจัยลบซึ่งกระทบต่อการลงทุนของกองทุน แต่ก็เชื่อว่า กองทุนน่าจะสามารถจ่ายผลตอบแทนให้กับผู้ถือหน่วยรายย่อยได้สูงกว่าปีก่อนที่จ่ายไปในอัตรา 4.5% ซึ่งเป็นอัตราผลตอบแทนที่ต่ำที่สุดตั้งแต่จัดตั้งกองทุนมา โดยในปี 2552 นี้เอง กองทุนได้จ่ายผลตอบแทนในช่วงครึ่งปีแรกไปแล้ว 3%
ส่วนความเสี่ยงที่จะมีผลกระทบต่อกองทุนในปีนี้ มองว่าในส่วนของภาพรวมเศรษฐกิจได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว ดังนั้น ผลกระทบในปีนี้ จึงไม่น่าจะมีมากนัก อย่างไรก็ตาม ในแง่ของปัญหาการเมืองเองอาจจะมีบ้าง แต่ว่ากำไรสะสมที่กองทุนมีอยู่จึงเชื่อว่ากองทุนจะสามารถรับภาระความเสี่ยงได้อย่างไม่มีปัญหา
นายพิชิต อัคราทิตย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในปี 2553 มีความเป็นไปได้ที่กองทุนวายุภักษ์ 2 จะได้รับความสนใจจากภาครัฐ ในการใช้เป็นช่องทางระดมทุนเพื่อการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของรัฐบาล ทั้งนี้ มองว่าน่าเป็นจังหวะเวลาที่เหมาะสม เพราะแนวทางในการการกู้เงินจำกัดมากขึ้น โดยเฉพาะในช่วงที่หนี้สาธารณะเกินกรอบที่กำหนดเอาไว้ ซึ่งคลังเองกำหนดเอาไว้ที่ไม่เกิน 50% ของจีดีพี ซึ่งในส่วนนี้เชื่อว่าทางกระทรวงการคลังเองยังไม่อยากเห็น
ทั้งนี้ รูปแบบของวายุภักษ์ 2 นั้น เดิมทีมีการวางเอาไว้ตั้งแต่ 6 ปีก่อน พร้อมกับกองทุนรวมวายุภักษ์ 1 แต่กรอบการลงทุนไม่เหมือนกัน โดยเฉพาะเรื่องของผลตอบแทนและความเสี่ยง ซึ่งเบื้องต้น รูปแบบการระดมทุนจะเหมือนกับกองทุนรวมทั่วไป แต่จะมุ่งลงทุนและหาผลตอบแทนจากโครงการพื้นฐานของภาครัฐ
อย่างไรก็ตาม หลังจากนี้คงต้องมีการทบทวนรูปแบบการลงทุนใหม่อีกครั้ง เนื่องจากสถานการณ์เปลี่ยนไปจากเดิมค่อนข้างมาก โดยเฉพาะ 2 ประเด็นหลัก นั่นคือ การใช้เงินของรัฐบาล เพราะโครงการต่างๆที่รัฐจะลงทุนตั้งแต่ 6 ปีที่ผ่านมา เปลี่ยนไป บางโครงการลงทุนไปแล้วด้วยการใช้เงินกู้ หรือบางโครงการอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงไป อีกประเด็นหนึ่งคือ ความต้องการของนักลงทุน ซึ่งเดิมทีการลงทุนในกองทุนรวมอาจจะอยู่ไกลนักลงทุน แต่ระยะเวลาที่ผ่านมา ความเข้าใจของนักลงทุนที่มีต่อกองทุนรวมเองเปลี่ยนแปลงไปมาก ส่วนใหญ่มีความเข้าใจมากขึ้น โดยเฉพาะประเด็นที่ให้ผลตอบแทนมากกว่าเงินฝาก ดังนั้น จึงทำให้ที่มาของเงินเปลี่ยนไป
นายพิชิตกล่าวว่า สำหรับความเป็นไปได้ที่จะตั้งกองทุนวายุภักษ์ 2 นั้น คาดว่าจะอยู่ช่วงหลังไตรมาส 2 ของปี ส่วนมูลค่าจะเป็นเท่าไหร่นั้น คงจะถูกกำหนดด้วยโครงการลงทุนส่วนที่รัฐได้สนับสนุน โดยการใช้งบประมาณและการกู้เงิน ซึ่งในส่วนที่เหลือต้องดูด้วยว่า โครงสร้างพื้นฐานที่รัฐต้องการลงทุนนั้นมีรายได้หรือไม่ เพราะถ้าไม่มีรายได้ ก็ทำไม่ได้ นอกจากนี้ ต้องดูความต้องการของนักลงทุนควบคู่ไปด้วย อย่างไรก็ตาม กรอบการลงทุนของกองทุนสาธารณูปโภคเอง ปัจจุบันกำหนดกรอบขั้นต่ำเอาไว้ที่ 5,000 ล้านบาท
สำหรับผลการดำเนินงานของกองทุนวายุภักษ์ 1 นายพิชิตกล่าวไว้ก่อนหน้านี้ว่า ปัจจุบันกองทุนมีกำไรสะสมอยู่ค่อนข้างสูง โดยมีมูลค่าอยู่ถึง 47,848.55 ล้านบาท ซึ่งในส่วนนี้ มีการสำรองจ่ายเงินปันผลเอาไว้แล้วจำนวน 8,400 ล้านบาท ซึ่งเป็นการสำรองผลตอบแทนอีก 4 ปีที่เหลือ ในจำนวนปีละ 2,100 ล้านบาท
สำหรับผลตอบแทนทั้งปี 2552 นายพิชิตกล่าวว่า แม้ว่าจะมีปัจจัยลบซึ่งกระทบต่อการลงทุนของกองทุน แต่ก็เชื่อว่า กองทุนน่าจะสามารถจ่ายผลตอบแทนให้กับผู้ถือหน่วยรายย่อยได้สูงกว่าปีก่อนที่จ่ายไปในอัตรา 4.5% ซึ่งเป็นอัตราผลตอบแทนที่ต่ำที่สุดตั้งแต่จัดตั้งกองทุนมา โดยในปี 2552 นี้เอง กองทุนได้จ่ายผลตอบแทนในช่วงครึ่งปีแรกไปแล้ว 3%
ส่วนความเสี่ยงที่จะมีผลกระทบต่อกองทุนในปีนี้ มองว่าในส่วนของภาพรวมเศรษฐกิจได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว ดังนั้น ผลกระทบในปีนี้ จึงไม่น่าจะมีมากนัก อย่างไรก็ตาม ในแง่ของปัญหาการเมืองเองอาจจะมีบ้าง แต่ว่ากำไรสะสมที่กองทุนมีอยู่จึงเชื่อว่ากองทุนจะสามารถรับภาระความเสี่ยงได้อย่างไม่มีปัญหา