บลจ.บัวหลวง แย้มปีหน้าเล็งออกกอทุนทองคำเพิ่ม และพร็อพเพอร์ตี้ฟันด์ หวังเป็นทางเลือกให้นักลงทุน เผยปีหน้าทองคำยังเป็นปีทอง ชี้แบงก์ชาติหลายประเทศ สะสมทองคำไว้เป็นทุนสำรองสำหรับประเทศ แนะควรลงทุนระยะยาวให้ผลตอบแทนเยี่ยม
นางวรวรรณ ธาราภูมิ กรรมการผู้จัดการบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม (บลจ.) บัวหลวง จำกัด เปิดเผยว่า ในช่วงปีหน้าบริษัทมีความสนใจที่จะออกกองทุนทองคำที่เป็นแบบปกติ และแบบกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพหรือเอ็มเอฟ รวมถึงบริษัทเองจะมีการขยายกองทุนอสังหาริมทรัพย์ที่เป็น Freehold อีกด้วย เพราะตลาดมีความเข้าใจมากขึ้น
ทั้งนี้ เราจับโจทย์ที่ลูกค้ามีได้ตรงประเด็น นั่นก็คือ กองทุนอสังหาริมทรัพย์ จะมีลักษณะคล้ายๆ กับกองทุนตราสารหนี้ในบางแง่ แต่ให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าอัตราดอกเบี้ยมาก ทั้งยังมีกรรมสิทธิ์ในโฉนดและอาคารที่ลงทุนอีกด้วย แม้อัตราดอกเบี้ยจะมีแนวโน้มสูงขึ้นในปี 2553 แต่ผลตอบแทนสูงของกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ก็สามารถชดเชยส่วนนั้นได้
“บริษัทมีความสนใจที่ออกกองทุนทองคำ และกองทุนอสังหาริมทรัพย์เพิ่มขึ้นอีก เพื่อหวังว่ากองทุนดังกล่าวจะสามารถเป็นทางเลือกให้แก่นักลงทุนได้เข้ามาลงทุนได้หลากหลายมากยิ่ง อีกทั้งยังเป็นการกระจายการลงทุนในอีกรูปแบบหนึ่งด้วย”
สำหรับทิศทางการลงทุนในปีหน้า กรรมการผู้จัดการ กล่าวว่า โดยปกติในช่วงต้นปี ราคาทองคำกับค่าเงินดอลล่าร์สหรัฐฯ จะไปในทิศทางตรงกันข้าม เพราะทองคำถูกยอมรับให้เป็นเหมือนกับเป็นเงินสกุล (Currency) อีกชนิดหนึ่งในโลกไปแล้ว จึงมีการเทรด เหมือน Currency ผลก็คือ เมื่อดอลล่าร์สหรัฐฯ อ่อนค่าลงในตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ (foreign exchange market) ต่อเนื่องยาวนาน ราคาทองคำเป็นดอลล่าร์สหรัฐฯ ก็พุ่งขึ้นในเวลาเดียวกัน และเมื่อดอลล่าร์สหรัฐฯ แข็งค่าขึ้นต่อเนื่องหลายเดือน ราคาทองคำก็ลดลง โดยอาจมีการเหลื่อมเวลากันบ้าง และไม่จำเป็นต้องขึ้นลงในอัตราเดียวกัน แต่ก็มีบางครั้งที่ไม่เป็นไปในทิศทางตรงกันข้ามในช่วงสั้นๆ เช่นในช่วงปี ค.ศ. 1978-1980, 1993 และ 2005 แต่เพียงชั่วคราวเท่านั้น
ดังนั้น การทำนายราคาทองคำจึงเป็นการทำนายทิศทางของดอลล่าร์สหรัฐฯ และในปี 2553 หากอัตราดอกเบี้ยเริ่มขยับขึ้นในช่วงครึ่งหลัง ทิศทางของเงินดอลล่าร์สหรัฐฯ ก็น่าจะแข็งค่าขึ้น ซึ่งอาจจะส่งผลลบต่อราคาทองคำ
อย่างไรก็ตาม ราคาทองคำยังมีแนวโน้มขาขึ้นหากมองในระยะยาว และเนื่องจากราคาทองคำในปี 2552 ปรับขึ้นเร็วมาก ดังนั้น ราคาในประเทศช่วงต้นปีอาจจะมีการอ่อนตัวและปรับฐานระยะหนึ่งก่อน แต่ในระยะยาวกว่านั้นหากเศรษฐกิจในประเทศเกิดใหม่ (Emerging market) ยังคงดีอยู่ รายได้ก็จะเพิ่มมากขึ้น ทำให้ประเทศเหล่านี้ต้องการลงทุนในทองคำมากขึ้นแทนที่จะลงทุนแต่สินทรัพย์ในรูปเงินดอลล่าร์สหรัฐอันมีความเสี่ยงมากขึ้น
นอกจากนี้ ธนาคารกลางเองในหลายๆ ประเทศยังเริ่มสะสมทองคำสำหรับทุนสำรองเงินตราต่างประเทศเพิ่มมากขึ้น ทำให้ความต้องการทองคำยังมีอยู่ และทองคำยังเป็นสินทรัพย์ที่ไม่มีกฏควบคุมเพดานราคาอีกด้วย
นางวรวรรณ ธาราภูมิ กรรมการผู้จัดการบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม (บลจ.) บัวหลวง จำกัด เปิดเผยว่า ในช่วงปีหน้าบริษัทมีความสนใจที่จะออกกองทุนทองคำที่เป็นแบบปกติ และแบบกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพหรือเอ็มเอฟ รวมถึงบริษัทเองจะมีการขยายกองทุนอสังหาริมทรัพย์ที่เป็น Freehold อีกด้วย เพราะตลาดมีความเข้าใจมากขึ้น
ทั้งนี้ เราจับโจทย์ที่ลูกค้ามีได้ตรงประเด็น นั่นก็คือ กองทุนอสังหาริมทรัพย์ จะมีลักษณะคล้ายๆ กับกองทุนตราสารหนี้ในบางแง่ แต่ให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าอัตราดอกเบี้ยมาก ทั้งยังมีกรรมสิทธิ์ในโฉนดและอาคารที่ลงทุนอีกด้วย แม้อัตราดอกเบี้ยจะมีแนวโน้มสูงขึ้นในปี 2553 แต่ผลตอบแทนสูงของกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ก็สามารถชดเชยส่วนนั้นได้
“บริษัทมีความสนใจที่ออกกองทุนทองคำ และกองทุนอสังหาริมทรัพย์เพิ่มขึ้นอีก เพื่อหวังว่ากองทุนดังกล่าวจะสามารถเป็นทางเลือกให้แก่นักลงทุนได้เข้ามาลงทุนได้หลากหลายมากยิ่ง อีกทั้งยังเป็นการกระจายการลงทุนในอีกรูปแบบหนึ่งด้วย”
สำหรับทิศทางการลงทุนในปีหน้า กรรมการผู้จัดการ กล่าวว่า โดยปกติในช่วงต้นปี ราคาทองคำกับค่าเงินดอลล่าร์สหรัฐฯ จะไปในทิศทางตรงกันข้าม เพราะทองคำถูกยอมรับให้เป็นเหมือนกับเป็นเงินสกุล (Currency) อีกชนิดหนึ่งในโลกไปแล้ว จึงมีการเทรด เหมือน Currency ผลก็คือ เมื่อดอลล่าร์สหรัฐฯ อ่อนค่าลงในตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ (foreign exchange market) ต่อเนื่องยาวนาน ราคาทองคำเป็นดอลล่าร์สหรัฐฯ ก็พุ่งขึ้นในเวลาเดียวกัน และเมื่อดอลล่าร์สหรัฐฯ แข็งค่าขึ้นต่อเนื่องหลายเดือน ราคาทองคำก็ลดลง โดยอาจมีการเหลื่อมเวลากันบ้าง และไม่จำเป็นต้องขึ้นลงในอัตราเดียวกัน แต่ก็มีบางครั้งที่ไม่เป็นไปในทิศทางตรงกันข้ามในช่วงสั้นๆ เช่นในช่วงปี ค.ศ. 1978-1980, 1993 และ 2005 แต่เพียงชั่วคราวเท่านั้น
ดังนั้น การทำนายราคาทองคำจึงเป็นการทำนายทิศทางของดอลล่าร์สหรัฐฯ และในปี 2553 หากอัตราดอกเบี้ยเริ่มขยับขึ้นในช่วงครึ่งหลัง ทิศทางของเงินดอลล่าร์สหรัฐฯ ก็น่าจะแข็งค่าขึ้น ซึ่งอาจจะส่งผลลบต่อราคาทองคำ
อย่างไรก็ตาม ราคาทองคำยังมีแนวโน้มขาขึ้นหากมองในระยะยาว และเนื่องจากราคาทองคำในปี 2552 ปรับขึ้นเร็วมาก ดังนั้น ราคาในประเทศช่วงต้นปีอาจจะมีการอ่อนตัวและปรับฐานระยะหนึ่งก่อน แต่ในระยะยาวกว่านั้นหากเศรษฐกิจในประเทศเกิดใหม่ (Emerging market) ยังคงดีอยู่ รายได้ก็จะเพิ่มมากขึ้น ทำให้ประเทศเหล่านี้ต้องการลงทุนในทองคำมากขึ้นแทนที่จะลงทุนแต่สินทรัพย์ในรูปเงินดอลล่าร์สหรัฐอันมีความเสี่ยงมากขึ้น
นอกจากนี้ ธนาคารกลางเองในหลายๆ ประเทศยังเริ่มสะสมทองคำสำหรับทุนสำรองเงินตราต่างประเทศเพิ่มมากขึ้น ทำให้ความต้องการทองคำยังมีอยู่ และทองคำยังเป็นสินทรัพย์ที่ไม่มีกฏควบคุมเพดานราคาอีกด้วย