เปิดฉากอย่างเป็นทางการแล้ว วานนี้ (12 พ.ย.) สำหรับมหกรรมการลงทุนครบวงจรแห่งปี SET in the City กรุงเทพมหานคร 2009 …ซึ่งจัดขึ้น ณ รอยัล พารากอน ฮอลล์ ชั้น 5 สยามพารากอน งานนี้ ได้รับเกียรติจากพณฯ ท่าน นายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ มาเป็นประธานในการเปิดงานด้วย
โดยบรรยากาศภายในงาน เพรียบพร้อมไปด้วยสถาบันการเงินชั้นนำ ที่นำทีมกับมาเป็นเครือ ไม่ว่าจะเป็นธนาคาร บริษัทหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน บริษัทประกัน รวมถึงบริษัทจดทะเบียนที่มาให้ข้อมูลนักลงทุนถึงที่ นอกจากนั้น ในปีนี้เอง มีความคึกคักของธุรกิจซื้อขายล่วงหน้าในตลาดโกลฟิวเจอร์สเข้ามาตามกระแสทองคำที่ราคาพุ่งขึ้นทำสถิติเป็นว่าเล่น
สำหรับสีสันของงานในครั้งนี้ อยู่ที่โปรโมชั่นเด็ดๆ ที่บรรดาสถาบันการเงินขนมาแข่งกันดึงลูกค้า โดยเฉพาะบรรดาบริษัทจัดการกองทุน...ซึ่งในช่วงปลายปีแบบนี้ แน่นอนว่ากองทุนรวมหุ้นระยะยาว (แอลทีเอฟ) และกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (อาร์เอ็มเอฟ) ได้รับความสนใจจากนักลงทุนเป็นพิเศษ เพื่อใช้สิทธิลดหย่อนภาษีช่วงปลายปี
นอกเหนือไปจากนั้น เวทีสัมมนาให้ความรู้ ก็ได้รับความสนใจไม่แพ้กัน เพราะภาวะวิกฤตเศรษฐกิจที่ยังครุกรุ่นอยู่ในปัจจุบัน ทำให้หลายคนสงสัยใคร่รู้ว่า ถึงเวลาลงทุนได้หรือยัง แล้วควรจะจัดสรรพอร์ตการลงทุนอย่างไรดี
หนึ่งในหัวข้อที่ได้รับความสนใจคือ “มองการลงทุนผ่านกูรูกองทุนไทย” ที่มี “วรวรรณ ธาราภูมิ” นายกสมาคมบริษัทจัดการลงทุน และกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน บัวหลวง จำกัด และ “สมจินต์ ศรไฟศาล” กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ทหารไทย จำกัด มาให้ข้อมูล
“วรวรรณ” กล่าวว่า ปัจจุบันภาวะเศรษฐกิจโลก ถือว่าได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว แต่ความผันผวนก็ยังคงมีให้เห็นอยู่บ้าง ขณะเดียวกัน ก็ยังมีความเสี่ยงของการนำเงินออกของนักลงทุนต่างประเทศได้เช่นกัน แต่มองว่าสถานการณ์เช่นนี้ จะยังไม่เกิดก่อนครึ่งแรกของปี 2553
เธอบอกว่า การลงทุนในกองทุนรวมเป็นทางเลือกหนึ่งในการหาผลตอบแทนในช่วงที่อัตราดอกเบี้ยเงินฝากอยู่ในระดับต่ำ ส่วนใครจะเลือกลงทุนแบบไหนนั้น ขึ้นอยู่กับความเสี่ยงของแต่ละคนว่ามีความสามารถในการรับความเสี่ยงได้แค่ไหน ซึ่งโดยส่วนตัวแล้ว มีการลงทุนสินทรัพย์เสี่ยงประมาณ 55% และลงทุนในสินทรัพย์ความเสี่ยงต่ำประมาณ 45% โดยมีการกระจายความเสี่ยงทั้งในหุ้น ตราสารหนี้ กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ กองทุนทองคำ เป็นต้น
นอกจากนี้ เธอยังแนะนำว่า อยากให้นักลงทุนกระจายการลงทุนเท่าๆ กันทุกๆเดือน โดยไม่ต้องรอจังหวะว่าจะลงทุนในช่วงไหน
“สมจินต์” ให้ความเห็นว่า ขณะนี้เศรษฐกิจหยุดแย่ลงแล้ว หรือจะพูดได้ว่าได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว แต่ปัจจัยที่ยังมีความสำคัญกับตลาดทุนในตอนนี้ คือเรื่องของดอกเบี้ยและอัตราเงินเฟ้อ ซึ่งหากดอกเบี้ยมีการปรับขึ้นเร็ว ก็อาจจะกระทบต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจ แต่โดยส่วนตัวมองว่าจากนี้ไปจนถึงกลางปีหน้า หากอัตราดอกเบี้ยยังอยู่ในระดับปัจจุบัน ตลาดทุนเองก็ยังน่าจะพอไปได้
เขาบอกว่า สำหรับในปีนี้เอง ใครที่ลงทุนในกองทุนหุ้น คงได้รับผลตอบแทนดีกันถ้วนหน้า ตามดัชนีที่ปรับขึ้นไปแล้วถึงกว่า 60% และยิ่งหากใครลงทุนสะสมในสัดส่วนที่เท่าๆ กันทุกเดือนด้วยแล้ว เชื่อว่าจะได้รับผลตอบแทนที่ดีกว่าคนที่จับจังหวะการลงทุนค่อนข้างมาก
ส่วนการลงทุนที่น่าสนใจในช่วงนี้ คงแนะนำกองทุนแอลทีเอฟและอาร์เอ็มเอฟ และแนะนำว่าให้นักลงทุนลงทุนเต็มสิทธิภาษีที่ได้รับการลดหย่อนด้วย
นี่เป็นเพียงบรรยากาศบางส่วนของงาน “SET in the City กรุงเทพมหานคร 2009” เท่านั้น โดยงานนี้ จะมีไปจนถึงวันที่ 15 พฤษจิกายนนี้ นักลงทุนท่านใดที่ไม่อยากพลาดโอกาสดีๆ ในการสร้างผลตอบแทนให้กับเงินของท่าน ยังมีเวลาอีก 3 วัน...รับรองว่างานนี้ ได้อะไรกลับไปมากกว่าที่คิด ที่สำคัญ ยังมีโปรโมชั่นเด็ดๆ ที่หาได้เฉพาะงานนี้เท่านั้นด้วย
โดยบรรยากาศภายในงาน เพรียบพร้อมไปด้วยสถาบันการเงินชั้นนำ ที่นำทีมกับมาเป็นเครือ ไม่ว่าจะเป็นธนาคาร บริษัทหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน บริษัทประกัน รวมถึงบริษัทจดทะเบียนที่มาให้ข้อมูลนักลงทุนถึงที่ นอกจากนั้น ในปีนี้เอง มีความคึกคักของธุรกิจซื้อขายล่วงหน้าในตลาดโกลฟิวเจอร์สเข้ามาตามกระแสทองคำที่ราคาพุ่งขึ้นทำสถิติเป็นว่าเล่น
สำหรับสีสันของงานในครั้งนี้ อยู่ที่โปรโมชั่นเด็ดๆ ที่บรรดาสถาบันการเงินขนมาแข่งกันดึงลูกค้า โดยเฉพาะบรรดาบริษัทจัดการกองทุน...ซึ่งในช่วงปลายปีแบบนี้ แน่นอนว่ากองทุนรวมหุ้นระยะยาว (แอลทีเอฟ) และกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (อาร์เอ็มเอฟ) ได้รับความสนใจจากนักลงทุนเป็นพิเศษ เพื่อใช้สิทธิลดหย่อนภาษีช่วงปลายปี
นอกเหนือไปจากนั้น เวทีสัมมนาให้ความรู้ ก็ได้รับความสนใจไม่แพ้กัน เพราะภาวะวิกฤตเศรษฐกิจที่ยังครุกรุ่นอยู่ในปัจจุบัน ทำให้หลายคนสงสัยใคร่รู้ว่า ถึงเวลาลงทุนได้หรือยัง แล้วควรจะจัดสรรพอร์ตการลงทุนอย่างไรดี
หนึ่งในหัวข้อที่ได้รับความสนใจคือ “มองการลงทุนผ่านกูรูกองทุนไทย” ที่มี “วรวรรณ ธาราภูมิ” นายกสมาคมบริษัทจัดการลงทุน และกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน บัวหลวง จำกัด และ “สมจินต์ ศรไฟศาล” กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ทหารไทย จำกัด มาให้ข้อมูล
“วรวรรณ” กล่าวว่า ปัจจุบันภาวะเศรษฐกิจโลก ถือว่าได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว แต่ความผันผวนก็ยังคงมีให้เห็นอยู่บ้าง ขณะเดียวกัน ก็ยังมีความเสี่ยงของการนำเงินออกของนักลงทุนต่างประเทศได้เช่นกัน แต่มองว่าสถานการณ์เช่นนี้ จะยังไม่เกิดก่อนครึ่งแรกของปี 2553
เธอบอกว่า การลงทุนในกองทุนรวมเป็นทางเลือกหนึ่งในการหาผลตอบแทนในช่วงที่อัตราดอกเบี้ยเงินฝากอยู่ในระดับต่ำ ส่วนใครจะเลือกลงทุนแบบไหนนั้น ขึ้นอยู่กับความเสี่ยงของแต่ละคนว่ามีความสามารถในการรับความเสี่ยงได้แค่ไหน ซึ่งโดยส่วนตัวแล้ว มีการลงทุนสินทรัพย์เสี่ยงประมาณ 55% และลงทุนในสินทรัพย์ความเสี่ยงต่ำประมาณ 45% โดยมีการกระจายความเสี่ยงทั้งในหุ้น ตราสารหนี้ กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ กองทุนทองคำ เป็นต้น
นอกจากนี้ เธอยังแนะนำว่า อยากให้นักลงทุนกระจายการลงทุนเท่าๆ กันทุกๆเดือน โดยไม่ต้องรอจังหวะว่าจะลงทุนในช่วงไหน
“สมจินต์” ให้ความเห็นว่า ขณะนี้เศรษฐกิจหยุดแย่ลงแล้ว หรือจะพูดได้ว่าได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว แต่ปัจจัยที่ยังมีความสำคัญกับตลาดทุนในตอนนี้ คือเรื่องของดอกเบี้ยและอัตราเงินเฟ้อ ซึ่งหากดอกเบี้ยมีการปรับขึ้นเร็ว ก็อาจจะกระทบต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจ แต่โดยส่วนตัวมองว่าจากนี้ไปจนถึงกลางปีหน้า หากอัตราดอกเบี้ยยังอยู่ในระดับปัจจุบัน ตลาดทุนเองก็ยังน่าจะพอไปได้
เขาบอกว่า สำหรับในปีนี้เอง ใครที่ลงทุนในกองทุนหุ้น คงได้รับผลตอบแทนดีกันถ้วนหน้า ตามดัชนีที่ปรับขึ้นไปแล้วถึงกว่า 60% และยิ่งหากใครลงทุนสะสมในสัดส่วนที่เท่าๆ กันทุกเดือนด้วยแล้ว เชื่อว่าจะได้รับผลตอบแทนที่ดีกว่าคนที่จับจังหวะการลงทุนค่อนข้างมาก
ส่วนการลงทุนที่น่าสนใจในช่วงนี้ คงแนะนำกองทุนแอลทีเอฟและอาร์เอ็มเอฟ และแนะนำว่าให้นักลงทุนลงทุนเต็มสิทธิภาษีที่ได้รับการลดหย่อนด้วย
นี่เป็นเพียงบรรยากาศบางส่วนของงาน “SET in the City กรุงเทพมหานคร 2009” เท่านั้น โดยงานนี้ จะมีไปจนถึงวันที่ 15 พฤษจิกายนนี้ นักลงทุนท่านใดที่ไม่อยากพลาดโอกาสดีๆ ในการสร้างผลตอบแทนให้กับเงินของท่าน ยังมีเวลาอีก 3 วัน...รับรองว่างานนี้ ได้อะไรกลับไปมากกว่าที่คิด ที่สำคัญ ยังมีโปรโมชั่นเด็ดๆ ที่หาได้เฉพาะงานนี้เท่านั้นด้วย
