xs
xsm
sm
md
lg

บลจ.สานฝันนายกฯตั้งเป้าบัญชีนักลงทุนเพิ่มขึ้นเกิน5%

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

สมาคมบลจ. ออกโรงสานฝันให้นายกฯ"อภิสิทธิ์" ที่ตั้งเป้าบัญชีนักลงทุนเพิ่มขึ้นเกิน5%ของประชากรทั้งประเทศภายใน4ปีข้างหน้า "วรวรรณ"ชี้แค่บัญชีกองทุนรวมเพียงอย่างเดียวก็บรรลุเป้าหมายได้แล้ว เพราะแค่ครึ่งปี2552 ก็มีจำนวนผู้ถือหน่วยกว่า 1.5 ล้านคน หรือ 2.31%ของประชากรไทย หากขยายตัวเฉลี่ย20%ต่อปี บวกบัญชีคนเล่นหุ้นแล้วถึงเป้าหมายแน่ แต่ภาครัฐต้องสนับสนุนอย่างจริง โดยให้กระทรวงการคลังผลักดันเป็นวาระแห่งชาติ โดยพร้อมให้ความร่วมมือเต็มที่หลังปัจจุบันยังมีผู้มาใช้ประโยชน์ทางภาษีผ่านกองทุนในสัดส่วนที่น้อยมาก ทั้งที่เม็ดเงินลงทุนระยะยาว ถือเป็นแหล่งเงินออมที่สำคัญของประเทศ

นางวรวรรณ ธาราภูมิ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) บัวหลวง จำกัด เเละในฐานะนายกสมาคมบริษัทจัดการลงทุน (AIMC)เปิดเผยว่า ตามแผนพัฒนาตลาดทุนไทยที่ นายกรัฐมนตรี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ประกาศว่าต้องการจะเพิ่มบัญชีผู้ซื้อขายหุ้นและ จำนวนบัญชีหน่วยลงทุนในกองทุนรวมขึ้นเป็น 5% ของประชากรทั้งประเทศให้ได้ใน 4 ปีข้างหน้า หรือภายในปี2556 นั้น เรื่องดังกล่าวทางสมาคมบลจ.เชื่อมั่นว่า แค่การเติบโตของธุรกิจกองทุนรวมเพียงลำพังก็น่าจะ สามารถบรรลุเป้าหมายที่ภาครัฐตั้งไว้ได้ เพราะจากข้อมูล ณ วันที่ 30 มิ.ย. 2551 มีจำนวนผู้ถือหน่วยลงทุนในกองทุนรวมอยู่ 1.28 ล้านคน คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 1.93% ของประชากรทั้งหมด และมีจำนวนบัญชีผู้ลงทุนในหุ้น 0.33 ล้านคน คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 0.50% เมื่อรวมกันแล้วเป็นจำนวน 1.61 ล้านคน คิดเป็นสัดส่วนประมาณ2.43% ของประชากรทั้งหมด 66.18 ล้านคน

ทั้งนี้ ข้อมูล ณ วันที่ 30 มิ.ย. 2552 พบว่ามีจำนวนผู้ถือหน่วยลงทุนในกองทุนรวมเพิ่มขึ้นเป็น 1.53 ล้านคน คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 2.31% ของประชากรทั้งหมดคิดเป็นการเติบโตประมาณ 19.7% ซึ่งหากธุรกิจกองทุนรวมยังมีอัตราการขยายตัวในอัตรา 20% ต่อปี แบบนี้ต่อเนื่องไปอีก 4 ปีข้างหน้า ก็จะคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 4.7% ของประชากรทั้งหมดแล้ว ซึ่งน่าจะทำให้เป้าหมายที่ภาครัฐตั้งไว้เป็นจริงได้ตามที่ตั้งใจ นอกจากนี้ ยังไม่ได้นับรวมในส่วนของจำนวนบัญชีผู้ลงทุนในหุ้นด้วย

อย่างไรก็ตามสิ่งที่สมาคมบลจ.ปรารถนาจะเห็นคือการสนับสนุนอย่างจริงจังของภาครัฐ ผ่านกระทรวงการคลังเพื่อให้เป็นวาระแห่งชาติ เพราะมองว่าการเติบโตของจำนวนผู้ถือหน่วยลงทุนในกองทุนรวมจะมาจาก 2 ส่วนหลักที่สำคัญ คือ 1 ผู้ฝากเงินที่เปลี่ยนมาเป็นลูกค้ากองทุนรวม และ 2 ผู้เสียภาษีที่จะมาใช้ประโยชน์ทางภาษีผ่าน
กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF)และกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) เป็นหลัก ซึ่งในส่วนของการสนับสนุนให้ผู้เสียภาษีมาใช้ประโยชน์ทางภาษีผ่านกองทุน ประหยัดภาษีนั้นภาครัฐมีส่วนสำคัญที่จะช่วยผลักดันในเรื่องนี้ได้มาก โดยผลัก ดันให้หน่วยงานต่างๆ ของรัฐเห็นความสำคัญในเรื่องนี้ซึ่งทางสมาคมบลจ.พร้อมที่จะสนับสนุนในด้านบุคลากรเข้าไปให้ความรู้เพื่อทำความเข้าใจเช่นเดียวกับที่เคยร่วมมือกับทางตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ทำกับบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯมาแล้ว ซึ่งเชื่อว่าจะช่วยขยายฐานไปยังผู้เสียภาษีที่ยังไม่ได้เข้ามาประโยชน์ได้ อีกเป็นจำนวนมาก

นางวรวรรณ กล่าวต่อว่า จากข้อมูลผู้ลงทุนในกองทุนรวม ณ วันที่ 20 มิ.ย. 2552 พบว่า มีการลงทุนในกองทุนหุ้น 5.8 แสนคน กองทุนตราสารหนี้ 8.0 แสนคน กองทุนผสม 1.6 แสนคน และกองทุนอสังหาริมทรัพย์ 0.24 แสนคน และหากแยกมาดูในกลุ่มกองทุน RMF มีจำนวนผู้ลงทุนอยู่ 1.88 แสนคน กองทุน LTF 3.0 แสนคน หรือประมาณ 52% ของกองทุนหุ้นทั้งหมด ขณะที่กองทุนรวมที่ไปลงทุนในต่างประเทศ (FIF) 1.73 แสนคน หรือคิดเป็น 11%ของผู้ลงทุนทั้งหมด

ขณะเดียวกัน พบว่าจำนวนผู้ลงทุนผ่านกองทุน RMF และ LTF คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 32% ของผู้ลงทุนทั้งหมด และหากกองทุนหุ้นตัดจำนวนผู้ลงทุนผ่านกองทุน LTF ออกไปตัวเลขผู้ลงทุนในกองทุนหุ้นจะหายไปเกือบครึ่ง ตรงนี้จึงเห็นได้ว่าการเติบโตในส่วนที่สำคัญส่วนหนึ่งจะมาจากกองทุนประหยัดภาษีซึ่ง ปัจจุบันยังมีผู้มาใช้ประโยชน์ไม่มากนักเมื่อเทียบกับผู้เสียภาษีทั้งระบบ

“สมา คมบลจ.จึงอยากเห็นภาครัฐสนับสนุนในเรื่องนี้อย่างจริงจัง และทางสมาคมบลจ.ก็พร้อมสนับสนุนเต็มที่ เพราะเม็ดเงินลงทุนผ่านกองทุนประหยัดภาษีส่วนใหญ่เป็นเงินลงทุนระยะยาวซึ่ง ถือเป็นแหล่งเงินออมที่สำคัญของประเทศเช่นเดียวกัน” นางวรวรรณกล่าว
กำลังโหลดความคิดเห็น