นายกสมาคมบลจ.เชื่อเศรษฐกิจโลกใกล้ฟื้น แต่แนะจับตาเงินเฟ้อ-ฟองสบู่รีเทิรน์อาจกดดันให้ทรุดอีก หากมาตรการอัดฉีดเม็ดเงินของทั่วโลกไร้ผล พร้อมคาดเศรษฐกิจไทยไตรมาส 3-4 ดีขึ้นต่อเนื่อง หลังตัวเลขหลายส่วนดีขึ้นทั้ง การผลิตและการบริโภคภาคเอกชน แต่ยังหวั่นท่องเที่ยว ไข้หวัดสายพันธุ์ใหม่ การเมืองกดดันการฟื้นตัว
นางวรวรรณ ธาราภูมิ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) บัวหลวง จำกัด ในฐานะนายกบริษัทจัดการลงทุน กล่าวว่า สถาการณ์เศรษฐกิจโลกขณะนี้ฟื้นต้วขึ้นเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้ เนื่องจากการรัฐบาลของนานาประเทศได้ดำเนินการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการอัดฉีดเม็ดเงินจำนวนมหาศาลเข้าสู่ระบบการเงิน ทั้งนี้ ในส่วนของประเทศไทยเองนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ ที่ทยอยออกมาตั้งแต่การจ่ายเช็คช่วยชาติจำนวน 2 พันบาท ทำให้เศรษฐกิจของประเทศเริ่มปรับตัวดีขึ้นด้วยเช่นกัน
"ตอนนี้เริ่มดีขึ้นแล้วไตรมาสแรกเริ่มสะท้อนให้เห็น แต่ในไตรมาส 2 จะเห็นชัดกว่า ทั้งเรื่องตัวเลขของภาคการผลิตที่มีน้ำหนักถึง 1 ใน 3 ของจีดีพีก็ปรับตัวดีขึ้น การผลิตเท่าที่เห็นโรงานต่างๆ ก็เริ่มทำการผลิตเพิ่มแล้ว"นางวรวรรณกล่าว
นอกจากนี้ ในส่วนของการบริโภคภาคเอกชนเอง ได้เริ่มปรับตัวดีขึ้นตั้งแต่ช่วงไตรมาส 2 ของปีนี้ โดยถึงแม้จะติดลบในระดับที่ -4.2% แต่ก็ยังลดลงจากไตรมาสแรกของปีนี้ที่ -5.3%
ส่วนสิ่งที่ต้องจับตามองหลังจากนี้ นางวรวรรณ เชื่อว่าน่าจะเป็นเรื่องของการท่องเที่ยว เนื่องจากในไตรมาส 2 ยังหดตัวในอัตราที่สูงกว่าไตรมาสแรก ซึ่งอาจมีสาเหตุมาจากการแพร่ระบาดของไขหวัดใหญ่สายพันธู์ใหม่ 2009 หรืออาจจะมาจากยังไม่ถึงฤดูท่องเที่ยวของชาวต่างชาติก็เป็นได้ โดยจำนวนนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติยัง -16.9% สูงกว่าไตรมาสแรกที่ -15.8%
อย่างไรก็ตามเชื่อว่าในไตรมาส 3 และ 4 ของปีนี้เศรษฐกิจไทยน่าจะปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ยังมีปัจจัยเสี่ยงที่อาจส่งผลกระทบกับเศรษฐกิจไทยได้เช่นกัน ทั้งเรื่องของการเมือง การแพร่ระบาทของไขหวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 และการเบิกจ่ายงบประมาณของภาครัฐ ซึ่งหากล่าช้าก็อาจส่งผลกระทบต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจได้เช่นกัน
"ภาพรวมตอนนี้น่าจะเบาใจได้ เพราะหากเปรียบเทียบแล้วรัฐบาลทุกประเทศไม่เคยนำเงินมาอุ้มสถาบันการเงิน แต่ตอนนี้สหรัฐเขาทำเพราะถ้าไม่ทำมันจะล้มทั้งระบบ ซึ่งเราจะได้รับผลสะท้อนจาการฟื้นตัวด้วย ซึ่งความเชื่อมั่นมันเริ่มกลับมาคนจะใช้จ่ายมากขึ้น ภาคอุตสาหกรรมก็จะเริ่มเห็นออร์เดอร์ก็จะเริ่มทำการผลิตเพิ่มอีก"นางวรวรรณกล่าว
นางวรวรรณ กล่าวอีกว่า ถึงแม้แนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจเริ่มสะท้อนให้เห็นออกมาแล้ว แต่ในอนาคตภาพรวมของเศรษฐกิจโลกอาจเกิดปัญหาได้อีก โดยหากนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลแต่ละประเทศไม่สามารถทำได้อย่างต่อเนื่องนานเกินไป เนื่องจากจะทำให้เกิดปัญหาเงินเฟ้อจนเกิดฟ่องสบู่ใหม่ได้ และการก่อหนี้ของรัฐบาลชาติต่างๆ ที่เพิ่มสูงขึ้นมากในช่วงที่ผ่านมาจะทำให้การกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านนโยบายการคลังทำได้ยากลำบากขึ้น
"ต้องบอกว่ามันเป็นอนาคตข้างหน้า ถ้าเกิดนโยบายที่รัฐบาลต่างอัดลงไปมันไม่เกิดผลหรือไปต่อไม่ได้ แล้วถึงตอนนั้นไม่มีเงินพอที่จะอัดฉีดอีกแบบที่ไม่เหลืออะไรในกระเป๋าแล้ว ก็อาจเป็นการฮาร์ดแลนด์ดิ้งได้ ซึ่งการอัดเงินไปมากๆ มันไม่เป็นธรรมชาติ เงินเฟ้อมันจะกลับมาถ้าความเชื่อมั่นไม่มา ฟองสบุ่มันก็จะเกิดขึ้น โดยดูตัวอย่างจีนตอนนี้เขาจะเข้มงวดมากเพราะกลัวเหมือนกัน"นางวรวรรณกล่าว
นางวรวรรณ ธาราภูมิ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) บัวหลวง จำกัด ในฐานะนายกบริษัทจัดการลงทุน กล่าวว่า สถาการณ์เศรษฐกิจโลกขณะนี้ฟื้นต้วขึ้นเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้ เนื่องจากการรัฐบาลของนานาประเทศได้ดำเนินการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการอัดฉีดเม็ดเงินจำนวนมหาศาลเข้าสู่ระบบการเงิน ทั้งนี้ ในส่วนของประเทศไทยเองนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ ที่ทยอยออกมาตั้งแต่การจ่ายเช็คช่วยชาติจำนวน 2 พันบาท ทำให้เศรษฐกิจของประเทศเริ่มปรับตัวดีขึ้นด้วยเช่นกัน
"ตอนนี้เริ่มดีขึ้นแล้วไตรมาสแรกเริ่มสะท้อนให้เห็น แต่ในไตรมาส 2 จะเห็นชัดกว่า ทั้งเรื่องตัวเลขของภาคการผลิตที่มีน้ำหนักถึง 1 ใน 3 ของจีดีพีก็ปรับตัวดีขึ้น การผลิตเท่าที่เห็นโรงานต่างๆ ก็เริ่มทำการผลิตเพิ่มแล้ว"นางวรวรรณกล่าว
นอกจากนี้ ในส่วนของการบริโภคภาคเอกชนเอง ได้เริ่มปรับตัวดีขึ้นตั้งแต่ช่วงไตรมาส 2 ของปีนี้ โดยถึงแม้จะติดลบในระดับที่ -4.2% แต่ก็ยังลดลงจากไตรมาสแรกของปีนี้ที่ -5.3%
ส่วนสิ่งที่ต้องจับตามองหลังจากนี้ นางวรวรรณ เชื่อว่าน่าจะเป็นเรื่องของการท่องเที่ยว เนื่องจากในไตรมาส 2 ยังหดตัวในอัตราที่สูงกว่าไตรมาสแรก ซึ่งอาจมีสาเหตุมาจากการแพร่ระบาดของไขหวัดใหญ่สายพันธู์ใหม่ 2009 หรืออาจจะมาจากยังไม่ถึงฤดูท่องเที่ยวของชาวต่างชาติก็เป็นได้ โดยจำนวนนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติยัง -16.9% สูงกว่าไตรมาสแรกที่ -15.8%
อย่างไรก็ตามเชื่อว่าในไตรมาส 3 และ 4 ของปีนี้เศรษฐกิจไทยน่าจะปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ยังมีปัจจัยเสี่ยงที่อาจส่งผลกระทบกับเศรษฐกิจไทยได้เช่นกัน ทั้งเรื่องของการเมือง การแพร่ระบาทของไขหวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 และการเบิกจ่ายงบประมาณของภาครัฐ ซึ่งหากล่าช้าก็อาจส่งผลกระทบต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจได้เช่นกัน
"ภาพรวมตอนนี้น่าจะเบาใจได้ เพราะหากเปรียบเทียบแล้วรัฐบาลทุกประเทศไม่เคยนำเงินมาอุ้มสถาบันการเงิน แต่ตอนนี้สหรัฐเขาทำเพราะถ้าไม่ทำมันจะล้มทั้งระบบ ซึ่งเราจะได้รับผลสะท้อนจาการฟื้นตัวด้วย ซึ่งความเชื่อมั่นมันเริ่มกลับมาคนจะใช้จ่ายมากขึ้น ภาคอุตสาหกรรมก็จะเริ่มเห็นออร์เดอร์ก็จะเริ่มทำการผลิตเพิ่มอีก"นางวรวรรณกล่าว
นางวรวรรณ กล่าวอีกว่า ถึงแม้แนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจเริ่มสะท้อนให้เห็นออกมาแล้ว แต่ในอนาคตภาพรวมของเศรษฐกิจโลกอาจเกิดปัญหาได้อีก โดยหากนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลแต่ละประเทศไม่สามารถทำได้อย่างต่อเนื่องนานเกินไป เนื่องจากจะทำให้เกิดปัญหาเงินเฟ้อจนเกิดฟ่องสบู่ใหม่ได้ และการก่อหนี้ของรัฐบาลชาติต่างๆ ที่เพิ่มสูงขึ้นมากในช่วงที่ผ่านมาจะทำให้การกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านนโยบายการคลังทำได้ยากลำบากขึ้น
"ต้องบอกว่ามันเป็นอนาคตข้างหน้า ถ้าเกิดนโยบายที่รัฐบาลต่างอัดลงไปมันไม่เกิดผลหรือไปต่อไม่ได้ แล้วถึงตอนนั้นไม่มีเงินพอที่จะอัดฉีดอีกแบบที่ไม่เหลืออะไรในกระเป๋าแล้ว ก็อาจเป็นการฮาร์ดแลนด์ดิ้งได้ ซึ่งการอัดเงินไปมากๆ มันไม่เป็นธรรมชาติ เงินเฟ้อมันจะกลับมาถ้าความเชื่อมั่นไม่มา ฟองสบุ่มันก็จะเกิดขึ้น โดยดูตัวอย่างจีนตอนนี้เขาจะเข้มงวดมากเพราะกลัวเหมือนกัน"นางวรวรรณกล่าว
