บลจ.เอ็มเอฟซี ประเมินภาพรวมตลาดหุ้นปีหน้าใหม่ คาดไทยเข้มแข็งดันกำไรบจ.โต 23% พี/อี 12-13 เท่า ดันดัชนีพุ่งสูงสุด 858 จุด แนะนักลงทุนเก็บหุ้นเข้าพอร์ตเก็งกำไรระยะยาว ส่วนแนวโน้มระยะสั้น รอข่าวดีผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนสหรัฐฯ ลุ้นออกมาดี ดัชนีพุ่ง 780 จุด
นายศุภกร สุนทรกิจ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) หรือ MFC เปิดเผยว่า บลจ.เอ็มเอฟซี ได้ประเมินภาพรวมการลงทุนในตลาดหุ้นไทยในปี 2553 ใหม่ หลังจากการกระตุ้นเศรษฐกิจโดยการใส่เม็ดเงินเข้าระบบผ่านโครงการไทยเข้มแข็งเริ่มเห็นการลงทุนบ้างแล้ว
โดยมองว่าในปีหน้า กำไรบริษัทจดทะเบียน (บจ.)จะอยู่ที่ 23% และคาดว่าราคาต่อกำไร (พี/อี) ของตลาดหุ้นไทยจะอยู่ที่ 12-13 เท่า ซึ่งหากพีอีที่ 12 เท่า ดัชนีจะอยู่ที่ 792 จุด และหากพีอีอยู่ที่ 13 เท่า ดัชนีอยู่ที่ 858 จุด โดยมีอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลอยู่ที่ 4% และหลังจากนั้น ต้องดูว่ากำไรบจ.ในปี 2554 จะเป็นอย่างไร ขณะที่กำไรบจ.ปี 2552 คาดว่าติดลบ 15% ซึ่งอยู่ระดับต่ำสุดแล้วก่อนฟื้นตัวในปีหน้า
ทั้งนี้ ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา พีอีเฉลี่ยของตลาดหุ้นไทยไม่เคยเกิน 12 เท่า เพราะปัญหาด้านการเมืองกดไว้ และตอนนี้แม้หุ้นไทยในเดือนก.ย.จะปรับตัวขึ้นแรงสุดในเอเชีย แต่ก็ยังถือว่าไม่แพง จึงมองว่านักลงทุนที่จะซื้อหุ้น เพื่อลงทุนระยะยาวหรือจะซื้อกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) ในตอนนี้ก็น่าจะซื้อได้ไม่ต้องรอสิ้นปี
สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นในขณะนี้ มองว่าหากผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนไตรมาส 3 ในสหรัฐออกมาดีอย่างคาดการณ์ หุ้นไทยน่าจะยืน 750 จุดได้และถ้าเม็ดเงินต่างชาติยังเข้ามาต่อเนื่องอาจทำให้หุ้นแตะ 780 จุดในปีนี้ และมองแนวรับที่ 730 จุด
อย่างไรก็ตาม รอบนี้หุ้นขึ้นต่อเนื่อง ยังไม่ลงทำให้นักลงทุนไม่กล้าเข้ามาลงทุน แต่หลังผลประกอบการไตรมาส 3 จบแล้ว ตลาดจะหมดข่าวอาจทำให้หุ้นปรับฐานเหมือนที่เคยเกิดขึ้นใน 2-3 ไตรมาสที่ผ่านมาได้
นายศุภกร กล่าวว่า สำหรับการบริหารพอร์ตกองทุนหุ้นในปีนี้ ยอมรับว่ามีการปรับพอร์ตถี่โดยบริหารในเชิงรุก (แอคทีฟ) เนื่องจากหุ้นวิ่งเร็ว โดยต้นปีที่ผ่านมา พอร์ตกองทุนหุ้นของเราลงทุนอยู่ประมาณ 70% แต่หลังจากตลาดมาเร็วก็ต้องเพิ่มน้ำหนักลงทุน จนขณะนี้ลงทุนเต็มพอร์ตที่ 95% แล้ว
นอกจากนี้ การลงทุนดังกล่าว ยังเปลี่ยนกลุ่มเล่นค่อนข้างเร็ว ทำให้บางตัวมีราคาเกินพื้นฐานจึงขายทำกำไรออก เพื่อลงทุนกลุ่มที่ยังมีราคาถูก ทั้งนี้ ในปีหน้าการบริหารพอร์ตกองทุนเองยังคงเน้นเชิงรุกมากขึ้น เพราะมองว่าจะมีข่าวหรือปัจจัยที่สนับสนุนหุ้นบางกลุ่มจนราคาปรับขึ้นแรงเหมือนปีนี้
ในส่วนของนักลงทุนต่างชาติ หากมองตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบันซื้อสุทธิต่อเนื่อง จนถึงขณะนี้แม้จะมีกำไรแล้ว 2 ทาง ทั้งกำไรจากราคาหุ้นที่ปรับเพิ่มขึ้นและค่าเงิน โดยค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นมาประมาณ 4% ขณะที่หุ้นขึ้น 60% แต่ต่างชาติยังซื้ออยู่ ซึ่งต่างจากที่ผ่านมา หากมีกำไรประมาณ 15% ก็ทำกำไรแล้ว ทั้งนี้ ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะตอนนี้ค่าเงินสหรัฐอ่อนค่าลง ทำให้นักลงทุนโยกเงินออกเห็นได้ชัดจากราคาทองคำที่ปรับตัวขึ้นมาก
อย่างไรก็ตาม มองว่าน้ำมันเป็นกลุ่มที่น่าจะให้ผลตอบแทนมากกว่าตลาดหรือเป็นกลุ่มแรคการ์ด แต่ตอนนี้นักลงทุนยังไม่ค่อยเพิ่มน้ำหนักลงทุนมากนัก ซึ่งแนะให้จับตาเพราะราคาน้ำมันขยับขึ้นมาแถว 72 เหรียญ/บาร์เรล จากระดับสูงสุดที่ทำไว้ 75-76 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล
นายศุภกร กล่าวว่าว่า สำหรับกองทุน LTF และกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) ของบริษัทช่วง 3 เดือนที่เหลือจากนี้ตั้งเป้าแต่ละประเภทกองทุนจะมีสินทรัพย์แตะ 1,000 ล้านบาท จากปัจจุบัน LTF มีสินทรัพย์ 689 ล้านบาทและ RMF มีสินทรัพย์ 612 ล้านบาท เนื่องจากช่วงเดือนธ.ค.จะเป็นช่วงที่นักลงทุนเข้ามาซื้อกองทุนเหล่านี้สูงสุด
ขณะที่ผลการดำเนินงานของกองทุน LTF รายงานโดยสมาคมบริษัทจัดการลงทุน ณ สิ้นสุด 30 ก.ย.2552 พบว่ากองทุนของบริษัทชนะดัชนีตลาด โดยเฉพาะกองทุนเปิดเอ็มเอฟซีเพิ่มค่าหุ้นระยะยาว (MV-LTF) มีผลตอบแทนสูงสุดอันดับ 1 อยู่ที่ 23.53% และกองทุนเปิดเอ็มเอฟซีเพิ่มทรัพย์หุ้นระยะยาว (MA-LTF) มีผลตอบแทนเอ็นดับสองอยู่ที่ 21.49% สำหรับผลการดำเนินงานย้อนหลัง 3 เดือน จากจำนวนกองทุน LTF ทั้งหมด 52 กองทุน