บลจ.กรุงไทย เอาใจคนชอบเสี่ยง แนะจับจังหวะลุยกองทุน "เคแทม อินเวสเมนท์ เลเจนด์ ฟันด์" หลังผลตอบแทนพุ่ง 6 เดือนกำไรแล้ว 14.5% ระบุได้อานิสงส์เศรษฐกิจฟื้น ดันคอมมอดิตีราคาขึ้น พ่วงพอร์ตตราสารหนี้ ช่วยลดความผันผวน เชียร์ลงทุนรอรับผลตอบแทนระยะยาว
นายสมชัย บุญนำศิริ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า สำหรับลูกค้าที่พอรับความเสี่ยงได้ และต้องการผลตอบแทนที่สูงกว่าการลงทุนในกองทุนประเภทตราสารหนี้ กองทุนเปิดเคแทม อินเวสเมนท์ เลเจนด์ ฟันด์ (KTIL) ก็น่าสนใจเช่นกัน เพราะเป็นกองทุนที่มีโอกาสรับผลตอบแทนที่ดี โดยตั้งแต่จัดตั้งกองทุนเมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2552 ผลตอบแทนจนถึงปัจจุบันอยู่ที่ 14.5% ซึ่งเป็นผลจากการที่กองทุนลงทุนในสินทรัพย์ประเภทตราสารทุน และสินค้าโภคภัณฑ์ (คอมมอดิตี) ที่ล้วนปรับตัวสูงขึ้นจากการคาดหวังว่าเศรษฐกิจจะเริ่มฟื้นตัวในระดับหนึ่ง
ทั้งนี้ เห็นได้จาก ดัชนีตลาดหุ้นใน Emerging Market ตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบันได้ปรับตัวสูงขึ้นประมาณ 30% และดัชนีราคาสินค้าโภคภัณฑ์สูงขึ้นประมาณ 20% ดัชนีตลาดหุ้นในสหรัฐอเมริกา ปรับเพิ่มขึ้นประมาณ 3% และกองทุนตราสารหนี้ปรับเพิ่มขึ้นประมาณ 7%
สำหรับกองทุน KTIL มีนโยบายลงทุนในหน่วยลงทุนของ Investment Legends Fund ซึ่งเป็นหนึ่งในกองทุนย่อยของ Celsius Fund Plc. ที่บริหารโดย Barclays Capital Fund Solutions ซึ่งเป็นกองทุนที่มีนโยบายการลงทุนในสินทรัพย์ 3 ประเภทหลัก คือ ตราสารทุน 40% โดยแบ่งเป็นหุ้น Berkshire Hathaway, Blackrock, Leucadia , และกองทุน Templeton Emerging Market
ในสัดส่วนบริษัทละ 10% ลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์ 40% ในดัชนี จิมโรเจอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล คอมมอดิตี้ และตราสารหนี้ 20% ในกองทุน PIMCO Total Return Bond Fund โดย Bill Gross ซึ่งล้วนแต่บริหารงานโดยผู้บริหารที่มีชื่อเสียง
โดยการลงทุนในตราสารทุนนั้น บริหารโดยผู้บริหารด้านการลงทุนในระดับแนวหน้า เช่น Warren Buffett, Ian Cumming, Joseph Steinberg ซึ่งจะเน้นการลงทุนใน Value Stock โดยเน้นเลือกกิจการที่เป็นผู้นำในตลาด มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง มีราคาไม่แพงเมื่อเทียบกับมูลค่าของบริษัท และ Mark Mobius ที่เชี่ยวชาญการลงทุนหุ้นใน Emerging Market ที่เน้นการลงทุนใน Growth Stock ทำให้ผลตอบแทนในอดีตที่ผ่านมาอยู่ในระดับสูง
นอกจากนี้ การลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์ ในสัดส่วน 40% ซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น จากการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ของกลุ่มประเทศ Emerging Market เช่น ประเทศจีน อินเดีย และจากวิกฤติเศรษฐกิจในครั้งนี้ ทำให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ได้มีการปรับตัวลดลงจากจุดสูงสุดอย่างรุนแรง
แต่ปัจจุบันได้กลับมาเพิ่มสูงขึ้นในระดับหนึ่ง และคาดว่าจะปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นมาในระดับใกล้เคียงกับค่าเดิมได้
เมื่อประกอบกับการลงทุนในกองทุนรวมตราสารหนี้ในสัดส่วน 20% ที่สร้างผลตอบแทนได้สม่ำเสมอ ก็ช่วยพยุงพอร์ตการลงทุนให้ผลตอบแทนไม่ผันผวนมากจนเกินไป
ทั้งนี้ ประเมินว่า แนวโน้มตลาดหุ้นและสินค้าโภคภัณฑ์ในช่วงครึ่งปีหลัง จะได้รับผลดีจากการที่เศรษฐกิจโลกจะเริ่มฟื้นตัวได้ในปลายปี 2552 ถึงต้นปี 2553 อันเป็นผลมาจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลทั่วโลก ประกอบกับภาวะเศรษฐกิจโลกนั้นได้ผ่านพ้นจุดต่ำสุดไปแล้ว อย่างไรก็ตาม อัตราผลตอบแทนอาจผันผวนในระยะสั้น เนื่องจากเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวอยู่ในขณะนี้ ยังมีความเปราะบาง และอาจมีแรงเทขายทำกำไรในระยะสั้นจากราคาที่ปรับตัวสูงขึ้น
"กองทุน KTIL นั้น มีความน่าสนใจมากสำหรับการลงทุนในระยะยาว เพราะได้รับประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ % ดังนั้น การลงทุนในช่วงนี้ จึงถือเป็นโอกาสที่ดีของนักลงทุนระยะยาวที่จะได้ลงทุนในหลักทรัพย์ที่มีคุณภาพสูงในราคาที่ไม่แพงและบริหารงานโดยผู้บริหารการลงทุนในระดับแนวหน้าของโลก"นายสมชัยกล่าว