ASTVผู้จัดการรายวัน - นักวิเคราะห์กองทุนรวม บล.ฟิลลิป ชูกองทุนเด่น "พร็อพเพอร์ตี้ฟันด์" แนะที่อยู่ศัย-คอนโด น่าลงทุน แต่ต้องลงทุนยาว 5 ปีขึ้นไป รับเงินปันผลดีในอนาคต เชื่อหากการท่องเที่ยวฟื้น กองทุนอสังหาฯสนามบินสมุยจ ะได้ประโยชน์จากผูกขาดของสนามบิน พร้อมชง "แอลทีเอฟ-บริค" ช่องทางออมและการจายความเสี่ยง
นางสาวศุภมาส พยัคฆพันธ์ Fund SuperMart Analyst บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ในช่วงที่อัตราดอกเบี้ยอยู่ในภาวะขาลง ทำให้นักลงทุนในหลายคนเริ่มให้ความสนใจกับการลงทุนกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งสามารถให้ผลตอบเเทนที่เเน่นอนในอนาคตมากขึ้น โดยก่อนหน้านี้ นักลงทุนอาจจะสนใจลงทุนในกองทุนอสังหาริมทรัพย์ประเภทสิทธิในการซื้อ (free hold) มากกว่า เเต่ช่วงนี้นักลงทุนเริ่มให้ความสนใจประเภทสิทธิในการเช่า (lease hold) เนื่องจากให้ผลตอบเเทนที่ดีกว่า
ในขณะเดียวกัน การลงทุนในกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์นั้น จะต้องเป็นเงินเย็นเเละต้องเป็นการลงทุนในระยะยาวอีกด้วย โดยก่อนหน้านี้ การลงทุนในกองทุนอสังหาริมทรัพย์ประเภทสำนักงานอาคารให้เช่านั้น จะได้รับความสนใจจากนักลงทุน เเต่ปัจจุบันกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ที่เหมากับการลงทุนในระยะเวลานี้คือ กองทุนที่ลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ประเภทที่อยู่อาศัย หรือ คอนโดมีเนียม
อย่างไรก็ตาม มองว่ากองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์สนามบินสมุย ของบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) นครหลวงไทย นั้นอาจจะได้รับผลกระทบเรื่องการท่องเที่ยวที่ลดลงอยู่บ้าง เเต่ข้อดีของกองทุนดังกล่าวคือ การผูกขาดของสนามบิน ซึ่งหากท่องเที่ยวกลับมาก็จะได้ประโยชน์จากส่วนนี้ค่อนข้างมาก
"อยากแนะนำว่านักลงทุนที่สนใจจะลงทุนในกองทุนอสังหาริมทรัพย์ ควรจะใช้เงินเย็นมาลงทุนเพื่อหวังผลตอบแทนจากกระแสรายได้ในรูปของเงินปันผลที่สม่ำเสมอในระยะยาวมากกว่า ดังนั้น ช่วงอายุของการลงทุนไม่ควรจะต่ำกว่า 5 ปี เพราะหากจะมาลงทุนในลักษณะของการซื้อขายเก็งกำไรในกองทุนอสังหาริมทรัพย์ อาจจะไม่เหมาะด้วยข้อจำกัดในเรื่องของสภาพคล่องในตลาดรองเอง"นางสาวศุภมาส
ส่วนการลงทุนในกองทุนหุ้นระยะยาว หรือ LTF นั้น ตนมองว่ากองทุนรวมวรรณสมาร์ทเอลทีเอฟหุ้นระยะยาว 1(SMART-LTF) บลจ.วรรณ จำกัด เป็นกองทุนที่ค่อนข้างหน้าสนใจในเเง่ของการใช้อนุพันธ์มาเป็นเครื่องมือช่วยลดความเสี่ยงจากความผันผวนของตลาดหุ้น ซึ่งเเม้ว่าตลาดจะมีความผันผัวนมากน้อยเเค่ไหน เเต่กองทุนดังกล่าวยังให้ผลตอบเเทนเป็นบวกได้ ขณะที่กองทุนหุ้นที่อยากเเนะนำให้นักลงทุนเลือกลงทุน คือ กองทุนอเบอร์ดีนสมอลเเค็พ ของบลจ.อเบอร์ดีน ซึ่งเรามองว่ากองทุนดังกล่าวลงทุนในหุ้นขนาดเล็ก ซึ่งเป็นกลุ่มที่วิ่งช้ากว่าหุ้นตัวใหญ่ โดยตอนนี้หุ้นตัวใหญ่ปรับขึ้นไปเเล้ว เเน่นอนว่าหุ้นกลุ่มเล็กจะปรับขึ้นบ้าง
นอกจากนี้ กองทุนรวมต่างประเทศ (FIF) ที่น่าลงทุนคือกองทุนเปิด ไอเอ็นจี ไทย บริค 40 ที่ลงทุนในประเทศจีนเเละประเทศอินเดีย ที่มีเเนวโน้มว่าจะสามารถฟื้นตัวจากภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัวได้ โดยเฉพาะประเทศอินเดียที่เพิ่งจะมีการเลือกตั้งรัฐบาลใหม่ ซึ่งนักวิเคราะห์หลายคนเชื่อว่านโยบายของรัฐบาลใหม่สอดคล้องเเละสามารถฟื้นฟูเศรษฐกิจได้
นางสาวศุภมาส กล่าวต่ออีกว่า ดัชนีตลาดหุ้นในเอเชียส่วนใหญ่ยังปรับขึ้นแรง หลังจากมีการเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในตลาดหุ้นเอเชีย จากผลการวิเคราะห์ของ Citigroup Global Markets พบว่า Asian Funds ได้เพิ่มขนาดเป็นสองเท่าตัวเป็น 1.6 พันล้านเหรียญสหรัฐ การปรับขึ้น 44%ของตลาดหุ้นในเอเชียในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมาเป็นการเคลื่อนย้ายจากธนาคารและตลาดเงินไปยังประเทศเอเชีย โดย 24%ของเงินที่ไหลออกทั้งหมดจาก Asian Funds ในระหว่างเดือนพฤศจิกายน 2550 จนถึงเดือนมีนาคม 2552 ได้กลับมาลงทุนในตลาดหุ้นเอเชียอีกครั้ง นอกจากนี้ยังมีปัจจัยบวกจากค่าเงินสกุลเอเชียที่แข็งค่าขึ้นอย่างมากจากการคาดการณ์ต่อการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐอเมริกา
ขณะที่ราคาน้ำมันดิบยังคงเคลื่อนไหวผันผวนระหว่าง 54-57 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรลหลักจากที่ค่าเงินดอลลาร์อเมริกาอ่อนค่าลงเเละมีการคาดการณ์ว่ากลุ่มโอเปคจะไม่มีการปรับลดกำลังการผลิตน้ำมันในการประชุมครั้งต่อไป ทางด้านราคาทองคำเริ่มเเนวโน้มปรับเพิ่มขึ้นหลังจากที่ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯอ่อรค่าลงเเละนักลงทุนเริ่มเข้าซื้อสินทรัพย์ที่ปลอดภัยเช่นทองคำมากขึ้น หลังจากที่มีการพุ่งขึ้นของราคาสินทรัพย์เสี่ยงคือหุ้นอย่างมากในช่วงที่ผ่านมา โดยทองคำจะยังมีโอกาสปรับขึ้นสู่ระดับ 1000 ดอลลาร์ต่ออนซ์ หลังจากที่เคลื่อนไหวสู่ระดับ 930 โดยมองว่าเป็นการปรับตามทิศทางราคาน้ำมันเเละเเนวโน้มอัตราเงินเฟ้อในโลกด้วยเช่นกัน
อย่างไรก็ตามทั้งน้ำมันและทองคำถือเป็นสินทรัพย์ที่มีความผันผวนสูงการจัดสรรเงินเพื่อลงทุนให้นับรวมอยู่ในกลุ่มของสินทรัพย์เสี่ยง คือ หุ้นด้วย ซึ่งปัจจุบันแนะนำให้ลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงประมาณ 50-70% ของพอร์ต