กองทุนที่มีการตั้งเป้าหมายผลตอบแทน หรือ ทาร์เก็ต ฟันด์ นักลงทุนหลายท่านน่าจะเคยได้ยินได้ฟัง หรือผ่านหูผ่านตามาบ้างพอสมควร การลงทุนแบบนี้จะว่าไปคล้ายกับกลยุทธ์กองโจรนั่นเอง คือเมื่อได้ผลตอบแทนที่ต้องการก็ทำการปิดกองทุนเสีย แต่การลงทุนในกองทุนประเภทนี้อาจจะยังค่อนข้างใหม่ และมีในตลาดไม่ค่อยมากนัก รวมทั้งอาจดูเหมือนเป็นเรื่องยุ่งยากสำหรับนักลงทุนบางท่าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักลงทุนมือใหม่
ทว่า การลงทุนในปัจจุบันที่ค่อนข้างผันผวน และเอาแน่เอานอนอะไรไม่ได้เลย การปล่อยเม็ดเงินลงทุนอยู่ในภาวะสุ่มเสี่ยงเป็นเวลานานจึงไม่สมควรทำเป็นอย่างยิ่ง ส่วนการฝากเงินกับธนาคารพาณิชย์ดูจะเป็นทางเลือกที่ไม่น่าสนใจเช่นกัน หลังจากอัตราดอกเบี้ยที่ได้ในปัจจุบันนับวันยิ่งมีแต่สาละวันเตี้ยลง ไม่ว่าจะเป็นการฝากแบบประจำ 3 เดือน 6 เดือน แม้กระทั่งแบบ 12 เดือนเองก็ตาม
ยิ่งหากนำไปเปรียบเทียบอัตราเงินเฟ้อที่ปรับขึ้นไปสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝากเสมอ ซึ่งอัตราเงินเฟ้อนี่เองที่เป็นตัวกัดกร่อนมูลค่าเงินของเราลดลงไปอย่างต่อเนื่อง หากเราไม่ลงทุนเลย และปล่อยให้เม็ดเงินนอนแน่นิ่งในธนาคารพาณิชย์ เมื่อนั้นเราจะพบว่ามูลค่าที่แท้จริงของเงินเราจะด้อยค่าลงไปเรื่อยๆ โดยในปีถัดไปจะพบว่าจำนวนเม็ดเงินเท่าเดิม เมื่อนำไปซื้อของใช้ประเภทเดียวกันอาจจะไม่สามารถซื้อได้แล้ว แต่ต้องใช้เม็ดเงินมากกว่าเดิมด้วย
ส่วนการลงทุนในกองทุนรวมตราสารหนี้ อัตราผลตอบแทนที่ได้ก็ไม่ดีไปกว่าการฝากเงินกับธนาคารพาณิชย์มากนัก หรือสามารถต่อสู้กับอัตราเงินเฟ้อได้ แล้วจะดีไหมหากลงทุนแล้วเราได้รับผลตอบแทนที่ดีกว่าอัตราดอกเบิ้ยของเงินฝากธนาคารพาณิชย์มากขึ้น แถมการลงทุนดังกล่าวก็ไม่ได้ยุ่งยากอย่างที่คิด แต่เม็ดเงินลงทุนที่จะนำมาลงทุนจะต้องเป็นเงินเย็นเท่านั้น
ก่อนอื่นต้องขอทำความเข้าใจว่าขึ้นชื่อว่าการลงทุนแล้ว ย่อมต้องมีความเสี่ยงตามมาด้วยเสมอ ที่สำคัญที่สุดคือเราต้องรู้ว่าเราสามารถยอมรับความเสี่ยงได้มากน้อยเพียงใด วันนี้ ทีมงาน “ASTVผู้จัดการรายวัน” ขอนำไปพบกับมุมมองของผู้บริหารกองทุนที่ออกกองทุนทาร์เก็ต ฟันด์ ของหลายบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ด้วยกัน โดยกองทุนดังกล่าวที่ออกมามีหลากหลายนโยบายในการลงทุน ทั้งแบบเน้นลงทุนในหุ้นไทย จีน สหรัฐ และน้ำมัน
ขอเริ่มต้นกันที่ บลจ.ทิสโก้ รายนี้นับว่าประสบความสำเร็จกับการลงทุนแบบนี้อยู่ไม่น้อย โดยกองทุนเปิด ทิสโก้ เอเชีย แปซิฟิก เอ็กซ์ เจแปน ทริกเกอร์ 15% และกองทุนเปิด ทิสโก้ เอเชียแปซิฟิก เอ็กซ์เจแปน ทริกเกอร์ 15%#3 ใช้เวลาเพียง 2 เดือนเท่านั้นก็สามารถปิดกองทุน และจ่ายคืนเงินลงทุน และผลตอบแทนที่ได้กลับไปสู่นักลงทุน
ธีรินทร์ สุวรรณเตมีย์ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด-ธุรกิจกองทุนรวม และกองทุนส่วนบุคคล บลจ.ทิสโก้ กล่าวว่า หลังจากกองทุนประเภททาร์เก็ตฟันด์อย่าง "กองทุนเปิดทิสโก้ เอเชีย แปซิฟิก เอ็กซ์ เจแปน ทริกเกอร์ 15% #3” ซึ่งสามารถสร้างผลตอบแทนตามเป้าหมายได้ภายในระยะเวลา 2 เดือนนั้น บริษัทก็ยังไม่มีแผนออกกองทุนประเภทนี้อีกเช่นกันโดยเฉพาะในช่วงเดือนพฤษภาคมที่จะถึงนี้
อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าการลงทุนในตลาดหุ้นทวีปเอเชียหลังจากนี้น่าจะเป็นกลุ่มประเทศที่ดีที่สุด และในระยะยาวน่าจะสร้างผลตอบแทนที่ดีได้ แต่สำหรับการออกกองทุนประเภททาร์เก็ตฟันด์ผู้จัดการกองทุนจำเป็นต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และน่าจะทำการเป็นขายได้เป็นบางช่วงเท่านั้นตามแต่จะมีการพิจารณา
ส่วนการออกกองทุนตราสารทุนจะเป็นกองทุนต่างประเทศประเภททาร์เก็ตฟันด์ได้แก่ กองทุนเปิด เอเชีย แปซิฟิก เอ็กซ์ เจแปน ทริกเกอร์ 15% ซึ่งจะทำการเสนอขายให้กับนักลงทุนประมาณเดือนละ 1 กองทุน
ส่วน บลจ.ยูโอบี (ไทย) รายนี้กำลังอยู่ในระหว่างการเปิดขายเปิดขายกองทุนยูโอบี ซูเปอร์ สไตรก์ อายุโครงการ 2 ปี ซึ่งเป็นกองทุนผสมลงทุนในหุ้นไทยและตราสารหนี้ โดยเปิดขายถึงวันที่ 29 เมษายนนี้ โดยกองทุนจะยกเลิกกองทุนหากมีผลตอบแทนที่ 10% ในปีที่ 1 แต่หากไม่เป็นไปตามเป้าหมายในปีแรก กองทุนจะยกเลิกหากมีผลตอบแทนที่ 20% ในปีที่ 2
วนา พูลผล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.ยูโอบี (ไทย) กล่าวว่า กองทุนเปิด ยูโอบี ซุปเปอร์ สไตรค์ (UOBSS) นับว่าเป็นกองทุนประเภททาร์เก็ต ฟันด์ กองทุนแรกของบริษัท โดยข้อดีของกองทุนแบบนี้คือไม่ต้องรอให้กองทุนครบกำหนด โดยกองทุนจะเข้าทยอยลงทุนในหุ้นในรูปแบบเก็บเล็กผสมน้อย โดยในปัจจุบันตลาดได้แกว่งค่อนข้างมาก จึงเป็นโอกาสที่ดีในการเข้าไปจับจังหวะลงทุน
ทั้งนี้ การลงทุนในลักษณะของทาร์เก็ตฟันด์ ทำให้ลูกค้าไม่ต้องรอนาน และมีผู้จัดการกองทุนคอยดูจังหวะการลงทุนให้ โดยตลาดหุ้นในปัจจุบันที่แม้ว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยจะไม่ปรับเพิ่มขึ้นในรอบเดียว หากจับจังหวะถูกประมาณ 3 – 4 ครั้งก็จะสามารถปิดกองทุนได้แล้ว ซึ่งจะเน้นลงทุนในหุ้นพื้นฐานทั่วไป ส่วนตราสารหนี้จะลงทุนเพียงเล็กน้อยเท่านั้น โดยส่วนใหญ่จะเน้นลงทุนในหุ้นเป็นหลัก
สาเหตุที่เน้นลงทุนในหุ้นไทย เนื่องจากเข้าใจง่าย และนักลงทุนมีความคุ้นเคย และเข้าใจกับการลงทุนในหุ้นของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) อยู่แล้ว ส่วนสินทรัพย์อื่นอย่างน้ำมัน และทองคำจะไม่ค่อยมีความผันผวนมากเท่ากับหุ้น การเข้าไปเก็งกำไรจึงทำได้ค่อนข้างยาก
ธีรพันธุ์ จิตตาลาน กรรมการผู้จัดการ บลจ.นครหลวงไทย กล่าวว่า บริษัทจะทำกองทุนประเภททาร์เก็ต ฟันด์ ในแง่แก้ไขกองทุนที่เน้นลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ที่มีปัญหาในด้านผลตอบแทนที่ติดลบอยู่ โดยจะมีการเสนอต่อลูกค้าว่าจะต่ออายุกองทุนดังกล่าวออกไป และไปลงทุนในพันธบัตรของทั้งสองประเทศ แต่จะมีการกำหนดเป้าหมายผลตอบแทนเอาไว้ เมื่อถึงเป้าหมายจะมีการปิดกองทุนดังกล่าวทันที
โดยที่ผ่านมา ผลตอบแทนของกองทุนดังกล่าวเคยปรับลดลงไปถึง 20% และในปัจจุบันกลับมาเหลือเพียง 10% เท่านั้น และมีการเตรียมการเอาไว้แล้ว ซึ่งกองทุนในซีรี่ส์ดังกล่าวจะเริ่มครบกำหนดอายุประมาณเดือนกรกฎาคม 2552 สำหรับทางเลือกจะแบ่งออกเป็น 3 แนวทางด้วยกัน ได้แก่ ต่ออายุกองทุนออกไปประมาณ 1 ปีแล้วลงทุนแบบมีเป้าหมาย หรือเลือกลงทุนในกองทุนสินค้าโภคภัณฑ์ และกองทุนหุ้นที่มีการตั้งกองทุนไว้ หรือหากไม่ต้องการลงทุนต่อก็สามารถนำเงินลงทุนออกไปได้
ส่วนทางด้าน บลจ.เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) นับเป็นผู้นำในการบริหารกองทุนที่มีการตั้งเป้าหมายผลตอบแทน และสามารถปิดกองทุนได้ตามเป้าหมายก่อนครบอายุกองทุน โดยผลงานที่ผ่านมา ได้แก่ กองทุนรวมเอ็มเอฟซีสปอท 1 (SPOT1) กองทุนรวมเอ็มเอฟซีสปอท 2 (SPOT2) กองทุนรวมเอ็มเอฟซีสปอท 3 (SPOT3) กองทุนเปิดเอ็มเอฟซีโพรฟิต 10 (PRO10) และกองทุนรวมเอ็มเอฟซี อินเตอร์เนชั่นแนล สปอท (I-SPOT)
ส่วนกองทุนที่เปิดขายไปล่าสุดเมื่อกลางเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ได้แก่ กองทุนเปิดเอ็มเอฟซี อินเตอร์เนชั่นแนล ออยล์ ฟิฟทีน ซีรี่ส์ 1 (I-OIL 15S1) อายุโครงการ 1 ปี เน้นลงทุนในต่างประเทศผ่านกองทุนน้ำมันต่างประเทศ PowerShares DB Oil Fund และลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้าเพื่อป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนเงิน โดยตั้งเป้าหมายว่าหากมูลค่าหน่วยลงทุนที่คืนให้ผู้ถือหน่วยลงทุนไม่ต่ำกว่า 11.50 บาท จะทำการเลิกกองทุนเพื่อคืนเงินแก่ผู้ถือหน่วยลงทุนทันที
ด้าน บลจ.วรรณ มีกองทุนทาร์เก็ตฟันด์เพียงกองเดียว ซึ่งเปิดขายตั้งแต่ปีที่ผ่านมา ได้แก่ กองทุนเปิดวรรณ ยูเอส รีคอฟเวอรี่ ออพพอร์ทูนิตี้ ฟันด์ (1US-OPP) จะเน้นลงทุนในหุ้นที่จดทะเบียนในประเทศสหรัฐอเมริกา โดยสามารถเลือกลงทุนในหุ้นบริษัทชั้นนำ ซึ่งระดับราคาได้ปรับตัวลดลงมาก ตลอดจนบริษัทชั้นนำที่มีศักยภาพการทำกำไรที่ดี เช่น Apple, Intel Corp, Citigroup, Goldman Sachs และบริษัทอื่นๆ เป็นต้น และเหมาะสำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ เนื่องจากลงทุนในตลาดหุ้น ที่ต้องการกระจายการลงทุนไปในต่างประเทศ ซึ่งกองทุนนี้มีลักษณะพิเศษคือ จะขายคืนหน่วยลงทุนอัตโนมัติ เมื่อกองทุนมีอายุครบ 2 ปี หรือมูลค่า NAV เพิ่มขึ้น 20% เป็นเวลา 3 วันทําการติดต่อกัน (มูลค่า NAV 12.00 บาทขึ้นไป)เมื่อกองทุนมีมูลค่าหน่วยลงทุนตั้งแต่ 12.00 บาท ขึ้นไป เป็นเวลา 3 วันขึ้นไป