บลจ.ทิสโก้สุดปลื้มกอง"เอเชีย แปซิฟิก เอ็กซ์ เจแปน ทริกเกอร์ 15% #3" ทำกำไรถึงเป้าก่อนกำหนด เตรียมปิดกองจ่ายเงินคืนนักลงทุน 23 เมษายนนี้ พร้อมระบุราคาหุ้นของทวีปเอเชียยังน่าสนใจ เหตุราคาถูกแต่ปัจจัยพื้นฐานดี มั่นใจมีโอกาสดีดตัวกลับก่อนภูมิภาคอื่นแน่นอน
นายพิชา รัตนธรรม หัวหน้าธุรกิจกองทุนรวมและกองทุนส่วนบุคคล บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ทิสโก้ จำกัด เปิดเผยว่า หลังจากบริษัทเปิดขาย“กองทุนเปิด ทิสโก้ เอเชีย แปซิฟิก เอ็กซ์ เจแปน ทริกเกอร์ 15% #3” ไปเมื่อวันที่ 15-23 มกราคมที่ผ่านมา ล่าสุดกองทุนสามารถให้ผลตอบแทนได้ตามเป้าหมาย (ทริกเกอร์) 15% ได้แล้ว โดยหน่วยลงทุน (NAV) ของกองทุนดังกล่าวมีมูลค่าตั้งแต่ 11.50 บาทขึ้นไป ติดต่อกันเป็นเวลา 3 วันทำการคือ ตั้งแต่วันที่ 9, 10 และ 16 เม.ย..ที่ผ่านมา
ทั้งนี้ ทำให้บริษัทสามารถปิดกองทุนและคืนเงินลงทุนพร้อมผลตอบแทนให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุนได้ก่อนครบอายุกองทุน 1 ปี ซึ่งใช้เวลาลงทุนเพียง 2 เดือนเศษเท่านั้น โดยกองทุนดังกล่าวมีกำหนดเลิกกองทุนและดำเนินการรับซื้อคืนหน่วยลงทุนทั้งหมดของผู้ถือหน่วยลงทุนแต่ละรายโดยอัตโนมัติในวันที่ 23 เม.ย. 52 นี้เพื่อเตรียมจ่ายคืนผลตอบแทนให้ผู้ลงทุนต่อไป
สำหรับกองทุนเปิด ทิสโก้ เอเชีย แปซิฟิก เอ็กซ์ เจแปน ทริกเกอร์ 15% #3 เป็นกองทุนรวมต่างประเทศ ที่เน้นลงทุนในหุ้นกลุ่มประเทศเอเชียแปซิฟิก ยกเว้นประเทศญี่ปุ่น ผ่านกองทุนหลัก คือ “กองทุน Lyxor ETF MSCI AC Asia-Pacific Ex Japan” ที่มีนโยบายลงทุนในหุ้นเพื่อให้ได้รับผลตอบแทนใกล้เคียงกับผลตอบแทนของดัชนี MSCI AC Asia-Pacific Ex Japan โดยกองทุนดังกล่าวมีอายุ 1 ปี แต่สามารถปิดกองทุนคืนเงินให้ผู้ถือหน่วยทันทีโดยไม่ต้องรอครบ 1 ปี หากหน่วยลงทุนมีมูลค่าเพิ่มขึ้นตั้งแต่ 15% ของมูลค่าที่ตราไว้ต่อหน่วย (หรือ 11.50 บาท) เป็นเวลา 3 วันทำการติดต่อกัน
นายพิชา กล่าวอีกว่า ที่ผ่านมาบลจ. ทิสโก้ เคยประสบความสำเร็จจาก "กองทุนเปิด ทิสโก้ เอเชีย แปซิฟิก เอ็กซ์ เจแปน ทริกเกอร์ 15%” ที่เปิดขายไปเมื่อเดือนมีนาคมปี 2551 โดยสามารถถึงเป้าหมายผลตอบแทนที่กำหนดและปิดกองทุนได้ก่อนครบอายุกองทุนภายในเวลาเพียง 2 เดือนเศษเช่นกัน ซึ่งหลังจากนั้นบริษัทฯ ก็มีการเสนอขายกองทุนลักษณะนี้อย่างต่อเนื่อง เพราะบริษัทประเมินว่าราคาหุ้นในปัจจุบันของกลุ่มเอเชียแปซิฟิกอยู่ในระดับที่ต่ำเมื่อเทียบกับภูมิภาคอื่นๆ ทั้งๆที่ปัจจัยพื้นฐานยังคงดีอยู่ จึงน่าจะสามารถลงทุนได้แล้ว โดยเฉพาะตลาดหุ้นจีนและอินเดีย อีกทั้งยังถือว่าปรับตัวลดลงมามากจนทำสถิติต่ำสุดในรอบหลายปี
"ด้วยราคาหุ้นที่ถูกมาก การคาดหวังว่าราคาหุ้นของเอเชียจะดีดกลับก่อนภูมิภาคอื่นจึงมีโอกาสสูงมาก ดังนั้นการที่ “กองทุนเปิด ทิสโก้ เอเชีย แปซิฟิก เอ็กซ์ เจแปน ทริกเกอร์ 15% #3” ได้กำไรถึงระดับที่ตั้งเป้าหมายเอาไว้ที่ 15% และสามารถปิดกองทุนได้ก่อนครบอายุกองทุน 1 ปี จึงแสดงให้เห็นว่ามุมมองของเราที่มีต่อทิศทางราคาหุ้นในเอเชียแปซิฟิกนั้นมาถูกทางแล้ว”นายพิชากล่าว
นายพิชา กล่าวอีกว่า นอกจากกองทุนหุ้นแล้ว ขณะนี้บลจ.ทิสโก้ ยังอยู่ในระหว่างการเปิดขาย “กองทุนเปิด ทิสโก้ สเปเชี่ยล พลัส 11”ในระหว่างวันที่ 16-24 เม.ย. นี้ โดยที่มีนโยบายเหมือนกองทุนอื่นๆในตระกูลของ “สเปเชี่ยล พลัส” คือ มุ่งรับผลตอบแทนจากการลงทุนในตราสารหนี้ธนาคารพาณิชย์และบริษัทเอกชน เพื่อคาดหวังโอกาสรับผลตอบแทนสูงกว่าเงินฝาก
อย่างไรก็ตาม สำหรับกองทุนนี้จะมีการเพิ่มเงื่อนไขให้สามารถเลิกกองทุนได้ก่อนครบอายุโครงการ 2 ปี หากหน่วยลงทุน (NAV) มีมูลค่ามากกว่าหรือเท่ากับ 10.42 บาท ณ วันทำการใด ภายในระยะเวลา 1 ปี โดยกองทุนมีมูลค่าโครงการ 200 ล้านบาท ลงทุนขั้นต่ำ 20,000 บาท
นายพิชา รัตนธรรม หัวหน้าธุรกิจกองทุนรวมและกองทุนส่วนบุคคล บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ทิสโก้ จำกัด เปิดเผยว่า หลังจากบริษัทเปิดขาย“กองทุนเปิด ทิสโก้ เอเชีย แปซิฟิก เอ็กซ์ เจแปน ทริกเกอร์ 15% #3” ไปเมื่อวันที่ 15-23 มกราคมที่ผ่านมา ล่าสุดกองทุนสามารถให้ผลตอบแทนได้ตามเป้าหมาย (ทริกเกอร์) 15% ได้แล้ว โดยหน่วยลงทุน (NAV) ของกองทุนดังกล่าวมีมูลค่าตั้งแต่ 11.50 บาทขึ้นไป ติดต่อกันเป็นเวลา 3 วันทำการคือ ตั้งแต่วันที่ 9, 10 และ 16 เม.ย..ที่ผ่านมา
ทั้งนี้ ทำให้บริษัทสามารถปิดกองทุนและคืนเงินลงทุนพร้อมผลตอบแทนให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุนได้ก่อนครบอายุกองทุน 1 ปี ซึ่งใช้เวลาลงทุนเพียง 2 เดือนเศษเท่านั้น โดยกองทุนดังกล่าวมีกำหนดเลิกกองทุนและดำเนินการรับซื้อคืนหน่วยลงทุนทั้งหมดของผู้ถือหน่วยลงทุนแต่ละรายโดยอัตโนมัติในวันที่ 23 เม.ย. 52 นี้เพื่อเตรียมจ่ายคืนผลตอบแทนให้ผู้ลงทุนต่อไป
สำหรับกองทุนเปิด ทิสโก้ เอเชีย แปซิฟิก เอ็กซ์ เจแปน ทริกเกอร์ 15% #3 เป็นกองทุนรวมต่างประเทศ ที่เน้นลงทุนในหุ้นกลุ่มประเทศเอเชียแปซิฟิก ยกเว้นประเทศญี่ปุ่น ผ่านกองทุนหลัก คือ “กองทุน Lyxor ETF MSCI AC Asia-Pacific Ex Japan” ที่มีนโยบายลงทุนในหุ้นเพื่อให้ได้รับผลตอบแทนใกล้เคียงกับผลตอบแทนของดัชนี MSCI AC Asia-Pacific Ex Japan โดยกองทุนดังกล่าวมีอายุ 1 ปี แต่สามารถปิดกองทุนคืนเงินให้ผู้ถือหน่วยทันทีโดยไม่ต้องรอครบ 1 ปี หากหน่วยลงทุนมีมูลค่าเพิ่มขึ้นตั้งแต่ 15% ของมูลค่าที่ตราไว้ต่อหน่วย (หรือ 11.50 บาท) เป็นเวลา 3 วันทำการติดต่อกัน
นายพิชา กล่าวอีกว่า ที่ผ่านมาบลจ. ทิสโก้ เคยประสบความสำเร็จจาก "กองทุนเปิด ทิสโก้ เอเชีย แปซิฟิก เอ็กซ์ เจแปน ทริกเกอร์ 15%” ที่เปิดขายไปเมื่อเดือนมีนาคมปี 2551 โดยสามารถถึงเป้าหมายผลตอบแทนที่กำหนดและปิดกองทุนได้ก่อนครบอายุกองทุนภายในเวลาเพียง 2 เดือนเศษเช่นกัน ซึ่งหลังจากนั้นบริษัทฯ ก็มีการเสนอขายกองทุนลักษณะนี้อย่างต่อเนื่อง เพราะบริษัทประเมินว่าราคาหุ้นในปัจจุบันของกลุ่มเอเชียแปซิฟิกอยู่ในระดับที่ต่ำเมื่อเทียบกับภูมิภาคอื่นๆ ทั้งๆที่ปัจจัยพื้นฐานยังคงดีอยู่ จึงน่าจะสามารถลงทุนได้แล้ว โดยเฉพาะตลาดหุ้นจีนและอินเดีย อีกทั้งยังถือว่าปรับตัวลดลงมามากจนทำสถิติต่ำสุดในรอบหลายปี
"ด้วยราคาหุ้นที่ถูกมาก การคาดหวังว่าราคาหุ้นของเอเชียจะดีดกลับก่อนภูมิภาคอื่นจึงมีโอกาสสูงมาก ดังนั้นการที่ “กองทุนเปิด ทิสโก้ เอเชีย แปซิฟิก เอ็กซ์ เจแปน ทริกเกอร์ 15% #3” ได้กำไรถึงระดับที่ตั้งเป้าหมายเอาไว้ที่ 15% และสามารถปิดกองทุนได้ก่อนครบอายุกองทุน 1 ปี จึงแสดงให้เห็นว่ามุมมองของเราที่มีต่อทิศทางราคาหุ้นในเอเชียแปซิฟิกนั้นมาถูกทางแล้ว”นายพิชากล่าว
นายพิชา กล่าวอีกว่า นอกจากกองทุนหุ้นแล้ว ขณะนี้บลจ.ทิสโก้ ยังอยู่ในระหว่างการเปิดขาย “กองทุนเปิด ทิสโก้ สเปเชี่ยล พลัส 11”ในระหว่างวันที่ 16-24 เม.ย. นี้ โดยที่มีนโยบายเหมือนกองทุนอื่นๆในตระกูลของ “สเปเชี่ยล พลัส” คือ มุ่งรับผลตอบแทนจากการลงทุนในตราสารหนี้ธนาคารพาณิชย์และบริษัทเอกชน เพื่อคาดหวังโอกาสรับผลตอบแทนสูงกว่าเงินฝาก
อย่างไรก็ตาม สำหรับกองทุนนี้จะมีการเพิ่มเงื่อนไขให้สามารถเลิกกองทุนได้ก่อนครบอายุโครงการ 2 ปี หากหน่วยลงทุน (NAV) มีมูลค่ามากกว่าหรือเท่ากับ 10.42 บาท ณ วันทำการใด ภายในระยะเวลา 1 ปี โดยกองทุนมีมูลค่าโครงการ 200 ล้านบาท ลงทุนขั้นต่ำ 20,000 บาท