ASTVผู้จัดการรายวัน-บลจ.ทิสโก้เดินเครื่องตามแผนครึ่งปีฉลู เตรียมส่งกองทุนตราสารหนี้ลุยหุ้นกู้เอกชนเพิ่ม "ทิสโก้ สเปเชี่ยล พลัส 9" ไอพีโอ 27 กุมภาพันธ์ - 5 มีนาคม 2552 นี้ หลัง 8 กองแรกนักลงทุนให้การตอบรับเป็นอย่างดี มั่นใจช่วยล็อกผลตอบแทนให้นักลงทุนช่วงอัตราดอกเบี้ยขาลงได้
รายงานจากบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) ทิสโก้ จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทเตรียที่จะเปิดเสนอขายกองทุนใหม่"ทิสโก้ สเปเชี่ยล พลัส 9"อายุโครงการ 2 ปี และมีมูลค่าโครงการ 500 ล้านบาท ในระหว่างวันที่ 27 กุมภาพันธ์ - 5 มีนาคม 2552 เพื่อเป็นทางเลือกให้กับนักลงทุนที่ต้องการผลตอบแทนมากกว่าเงินฝากในช่วงอัตราดอกเบี้ยขาลง
สำหรับกองทุนนี้จะะมีนโยบายการลงทุนใกล้เคียงกับ "กองทุนเปิด ทิสโก้ สเปเชี่ยล พลัส 1-8" ซีรีย์ก่อนหน้านี้ โดยจะเป็นกองตราสารหนี้ในประเทศที่มุ่งเน้นลงทุนในตราสารหนี้ธนาคารพาณิชย์และบริษัทเอกชนในประเทศที่มีคุณภาพ โดยมีระยะเวลาลงทุนประมาณ 2 ปี จ่ายผลตอบแทนสม่ำเสมอทุกๆ 6 เดือน (Auto Redemption)
ทั้งนี้ การเปิดขาย"กองทุนเปิด ทิสโก้ สเปเชี่ยล พลัส 8" ระหว่างวันที่ 4-13 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมามียอดการลงทุนอยู่ที่ประมาณ 87 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นการตอบรับที่ดีจากนักลงทุนพอสมควรทำให้มียอดการลทุนผ่านกองทุนในซีรี่ส์นี้แล้วประมาณ 964 ล้านบาทจากกองทุนที่เปิดขายจำนวน 7 กอง และครบอายุโครงการไปแล้ว 1 กอง
ส่วนผลตอบแทนของกองทุนตราสารหนี้ภาคเอกชนทิสโก้ สเปเชี่ยล พลัส 8 ในช่วงที่ผ่านมาจะอยู่ที่ประมาณ 3.1-3.2% ต่อปี ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับที่ดีกว่าพันธบัตรรัฐาบาลค่อนข้างมาก โดยปัจจุบันพันธบัตรรัฐบาลอายุ 1 ปีจะมีอัตราดอกเบี้ยอยู่ที่ประมาณ 1.5% และ 2 ปีอยู่ที่ 1.7%
สำหรับ บลจ.ทิสโก้ ได้มีการวางเป้าการออกกองทุนช่วงครึ่งปีแรกสำหรับกองทุนตราสารหนี้ สเปเชี่ยล พลัสไว้ที่ 12 กอง โดยจะออกประมาณเดือนละ 2 กองทุน ส่วนการออกกองทุนตราสารทุนจะเป็นกองทุนต่างประเทศประเภททาร์เก็ตฟันด์ได้แก่ กองทุนเปิด เอเชีย แปซิฟิก เอ็กซ์ เจแปน ทริกเกอร์ 15% ซึ่งจะทำการเสนอขายให้กับนักลงทุนประมาณเดือนละ 1 กอง และขณะนี้ยังอยู่ระหว่างการเปิดขายในกองที่ 4 ระหว่างวันที่ 20-27 กุมภาพันธ์
ขณะที่การนำเสนอขายกองทุนที่ลงทุนในหุ้นกู้เอกชนของบลจ.ทิสโก้อย่างต่อเนื่องนั้น นายพิชา รัตนธรรม ผู้อำนวยการธุรกิจกองทุนรวมและกองทุนส่วนบุคคล บลจ. ทิสโก้ จำกัด ให้เหตุผลว่า สาเหตุที่เราเสนอขายกองทุนเป็นระยะๆ อย่างต่อเนื่องในช่วงนี้ เนื่องจากเราพบว่าผู้ลงทุนต้องการจัดสรรเงินลงทุนในเวลาที่แตกต่างกัน เพื่อรักษาสภาพคล่องของเงินลงทุนของตนเองไว้ และการที่เราเลือกออกกองตราสารหนี้อายุ 2 ปี เนื่องจากมองว่าตราสารหนี้เอกชนอายุประมาณ 2 ปี ให้ผลตอบแทนส่วนเพิ่มที่สูง เมื่อเปรียบเทียบกับการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลที่มีอายุใกล้เคียงกัน
"เราได้คัดสรรหุ้นกู้ของบริษัทที่มีความสามารถในการชำระคืนหนี้ในระดับที่ดี และมีความแข็งแกร่งทางการเงินสูง เพราะเชื่อว่าแนวโน้มดอกเบี้ยในปีนี้จะยังเป็นขาลง ทั้งในส่วนของดอกเบี้ยนโยบาย ดอกเบี้ยธนาคารพาณิชย์ รวมถึงผลตอบแทนจากพันธบัตรรัฐบาล"นายพิชากล่าว
นอกจากนี้ การขยายอายุของตราสารหนี้ที่จะลงทุนให้ยาวขึ้นของกองทุนนี้ เชื่อว่าจะช่วยล็อกผลตอบแทนที่ดีเอาไว้ ก่อนที่อัตราดอกเบี้ยจะลดต่ำลงไปอีก ซึ่งเชื่อว่าเมื่อกองทุนครบอายุ ผู้ลงทุนจะได้ลงทุนต่อในอัตราดอกเบี้ยที่ดีกว่า กองทุนดังกล่าวจึงน่าจะเป็นทางเลือกที่ดีในช่วงนี้
อนึ่ง บลจ.ทิสโก้ตั้งเป้าการเติบโตของสินทรัพย์รวมภายใต้การบริหาร(AUM)ในปีนี้ เอาไว้ที่ประมาณ 20% ส่วน AUM ของบลจ.ทิสโก้ในปีที่ผ่านมาพบว่า อยู่ที่ 106,985 ล้านบาท แบ่งเป็น กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ 68,525 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 64.1%, กองทุนส่วนบุคคล 23,848 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 22.3% และกองทุนรวม 14,612 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 13.7% โดยเฉพาะธุรกิจกองทุนสำรองเลี้ยงชีพที่บริษัทสามารถรักษาตำแหน่งผู้นำตลาด โดยมีส่วนแบ่งตลาดเป็นอันดับ 1 เอาไว้ได้อย่างต่อเนื่อง
รายงานจากบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) ทิสโก้ จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทเตรียที่จะเปิดเสนอขายกองทุนใหม่"ทิสโก้ สเปเชี่ยล พลัส 9"อายุโครงการ 2 ปี และมีมูลค่าโครงการ 500 ล้านบาท ในระหว่างวันที่ 27 กุมภาพันธ์ - 5 มีนาคม 2552 เพื่อเป็นทางเลือกให้กับนักลงทุนที่ต้องการผลตอบแทนมากกว่าเงินฝากในช่วงอัตราดอกเบี้ยขาลง
สำหรับกองทุนนี้จะะมีนโยบายการลงทุนใกล้เคียงกับ "กองทุนเปิด ทิสโก้ สเปเชี่ยล พลัส 1-8" ซีรีย์ก่อนหน้านี้ โดยจะเป็นกองตราสารหนี้ในประเทศที่มุ่งเน้นลงทุนในตราสารหนี้ธนาคารพาณิชย์และบริษัทเอกชนในประเทศที่มีคุณภาพ โดยมีระยะเวลาลงทุนประมาณ 2 ปี จ่ายผลตอบแทนสม่ำเสมอทุกๆ 6 เดือน (Auto Redemption)
ทั้งนี้ การเปิดขาย"กองทุนเปิด ทิสโก้ สเปเชี่ยล พลัส 8" ระหว่างวันที่ 4-13 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมามียอดการลงทุนอยู่ที่ประมาณ 87 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นการตอบรับที่ดีจากนักลงทุนพอสมควรทำให้มียอดการลทุนผ่านกองทุนในซีรี่ส์นี้แล้วประมาณ 964 ล้านบาทจากกองทุนที่เปิดขายจำนวน 7 กอง และครบอายุโครงการไปแล้ว 1 กอง
ส่วนผลตอบแทนของกองทุนตราสารหนี้ภาคเอกชนทิสโก้ สเปเชี่ยล พลัส 8 ในช่วงที่ผ่านมาจะอยู่ที่ประมาณ 3.1-3.2% ต่อปี ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับที่ดีกว่าพันธบัตรรัฐาบาลค่อนข้างมาก โดยปัจจุบันพันธบัตรรัฐบาลอายุ 1 ปีจะมีอัตราดอกเบี้ยอยู่ที่ประมาณ 1.5% และ 2 ปีอยู่ที่ 1.7%
สำหรับ บลจ.ทิสโก้ ได้มีการวางเป้าการออกกองทุนช่วงครึ่งปีแรกสำหรับกองทุนตราสารหนี้ สเปเชี่ยล พลัสไว้ที่ 12 กอง โดยจะออกประมาณเดือนละ 2 กองทุน ส่วนการออกกองทุนตราสารทุนจะเป็นกองทุนต่างประเทศประเภททาร์เก็ตฟันด์ได้แก่ กองทุนเปิด เอเชีย แปซิฟิก เอ็กซ์ เจแปน ทริกเกอร์ 15% ซึ่งจะทำการเสนอขายให้กับนักลงทุนประมาณเดือนละ 1 กอง และขณะนี้ยังอยู่ระหว่างการเปิดขายในกองที่ 4 ระหว่างวันที่ 20-27 กุมภาพันธ์
ขณะที่การนำเสนอขายกองทุนที่ลงทุนในหุ้นกู้เอกชนของบลจ.ทิสโก้อย่างต่อเนื่องนั้น นายพิชา รัตนธรรม ผู้อำนวยการธุรกิจกองทุนรวมและกองทุนส่วนบุคคล บลจ. ทิสโก้ จำกัด ให้เหตุผลว่า สาเหตุที่เราเสนอขายกองทุนเป็นระยะๆ อย่างต่อเนื่องในช่วงนี้ เนื่องจากเราพบว่าผู้ลงทุนต้องการจัดสรรเงินลงทุนในเวลาที่แตกต่างกัน เพื่อรักษาสภาพคล่องของเงินลงทุนของตนเองไว้ และการที่เราเลือกออกกองตราสารหนี้อายุ 2 ปี เนื่องจากมองว่าตราสารหนี้เอกชนอายุประมาณ 2 ปี ให้ผลตอบแทนส่วนเพิ่มที่สูง เมื่อเปรียบเทียบกับการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลที่มีอายุใกล้เคียงกัน
"เราได้คัดสรรหุ้นกู้ของบริษัทที่มีความสามารถในการชำระคืนหนี้ในระดับที่ดี และมีความแข็งแกร่งทางการเงินสูง เพราะเชื่อว่าแนวโน้มดอกเบี้ยในปีนี้จะยังเป็นขาลง ทั้งในส่วนของดอกเบี้ยนโยบาย ดอกเบี้ยธนาคารพาณิชย์ รวมถึงผลตอบแทนจากพันธบัตรรัฐบาล"นายพิชากล่าว
นอกจากนี้ การขยายอายุของตราสารหนี้ที่จะลงทุนให้ยาวขึ้นของกองทุนนี้ เชื่อว่าจะช่วยล็อกผลตอบแทนที่ดีเอาไว้ ก่อนที่อัตราดอกเบี้ยจะลดต่ำลงไปอีก ซึ่งเชื่อว่าเมื่อกองทุนครบอายุ ผู้ลงทุนจะได้ลงทุนต่อในอัตราดอกเบี้ยที่ดีกว่า กองทุนดังกล่าวจึงน่าจะเป็นทางเลือกที่ดีในช่วงนี้
อนึ่ง บลจ.ทิสโก้ตั้งเป้าการเติบโตของสินทรัพย์รวมภายใต้การบริหาร(AUM)ในปีนี้ เอาไว้ที่ประมาณ 20% ส่วน AUM ของบลจ.ทิสโก้ในปีที่ผ่านมาพบว่า อยู่ที่ 106,985 ล้านบาท แบ่งเป็น กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ 68,525 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 64.1%, กองทุนส่วนบุคคล 23,848 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 22.3% และกองทุนรวม 14,612 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 13.7% โดยเฉพาะธุรกิจกองทุนสำรองเลี้ยงชีพที่บริษัทสามารถรักษาตำแหน่งผู้นำตลาด โดยมีส่วนแบ่งตลาดเป็นอันดับ 1 เอาไว้ได้อย่างต่อเนื่อง
