บลจ.ทิสโก้เชื่อ หุ้นกู้เอกชนยังน่าลงทุน เล็งเข็ญกอง สเปเชี่ยล พลัส เป็นทางเลือกให้กับนักลงทุนอย่างต่อเนื่อง หลังกองก่อนหน้านี้ลูกค้าให้การตอบรับเป็นอย่างดี ดันยอดเงินลงทุนรวมแตะ 964 ล้านบาท พร้อมยืนยันหุ้นกู้ที่บริษัทลงทุน จะมีการพิจารณาอย่างรอบคอบ ไม่ดูแค่เรตติ้งอย่างเดียว
นางสาวธีรินทร์ สุวรรณเตมีย์ หัวหน้าการตลาดธุรกิจกองทุนรวม และกองทุนส่วนบุคคล บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) ทิสโก้ จำกัด เปิดเผยว่า การเปิดขาย"กองทุนเปิด ทิสโก้ สเปเชี่ยล พลัส 8" ระหว่างวันที่ 4-13 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมามียอดการลงทุนอยู่ที่ประมาณ 87 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นการตอบรับที่ดีจากนักลงทุนพอสมควรทำให้มียอดการลทุนผ่านกองทุนในซีรี่ส์นี้แล้วประมาณ 964 ล้านบาทจากกองทุนที่เปิดขายจำนวน 7 กอง และครบอายุโครงการไปแล้ว 1 กอง
ทั้งนี้ บริษัทยังคงเป้าการออกกองทุนช่วงครึ่งปีแรกสำหรับกองทุนตราสารหนี้ สเปเชี่ยล พลัสไว้ที่ 12 กองตามเดิม ส่วนกองที่ 9 ขณะนี้ยังอยู่ระหว่างการพิจารณาว่าจะนำเสนอขายในช่วงใดแน่นอน แต่เบื้องต้นจะยังเป็นไปตามแผนเดิมคือประมาณ 2 กองทุนในแต่ละเดือน
“เราต้องดูภาวะตลาดก่อนแล้วค่อยลงทุนซึ่งกองนี้ก็กำลังจะนำเงินไปลงทุน เพราะพึ่งปิดกองไป โดยเราก็จะพยายามออกมาให้ต่อเนื่อง เหมือนกับกองทริกเกอร์ 15% ที่จะทยอยออกมาเช่นกัน เพื่อให้ลูกค้าสามารถเลือกลงไดตามความต้องการของเขา ซึ่งลูกค้าบางรายอาจจะรอจังหวะอยู่ และวิวของแต่ละคนก็ไม่เหมือนกันอีกด้วย”นางสาวธีรินทร์กล่าว
นางสาวธีรินทร์ กล่าวอีกว่า ผลตอบแทนของกองทุน เปิด ทิสโก้ สเปเชี่ยล พลัส 8 น่าจะอยู่ที่ประมาณ 3.1-3.2% ต่อปี ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่น่าสนใจสำหรับการลงทุนในหุ้นกู้ของเอกชนที่ปัจจุบันมีส่วนต่างจากผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลที่ปรับลดลงตามอัตราดอกเบี้ยโดยพันธบัตรรัฐบาลอายุ 1 ปีจะอยู่ที่ 1.5% และ 2 ปีอยู่ที่ 1.7%
“ที่ผ่านมาพันธบัตรรัฐบาลยิลด์มันปรับตัวลดลงมาก แต่หุ้นกู้เอกชนยังไม่ปรับลงมาจึงมองว่าน่าจะเป็นทางเลือกให้นักลงทุนได้ เพราะหุ้นกู้ภาคเอกชนที่ดีๆ ก็ยังมีให้เลือกลงทุนอยู่”นางสาวธีรินทร์กล่าว
สำหรับ ความกังวลของนักลงทุนเกี่ยวกับการผิดนัดชำระหนี้นั้น เชื่อว่าน่าจะยังมีบางส่วนที่ไม่มั่นใจอยู่กับเรื่องนี้ แต่การลงทุนของบริษัทในส่วนของหุ้นกู้ภาคเอกชนจะมีผู้จัดการกองทุนดูแลเป็นอย่างดี โดยจะไม่พิจารณาจากเรตติ้งเพียงอย่างเดียวเท่านั้น
ทั้งนี้ การพิจารณาก่อนการลงทุนในหุ้นกู้ภาคเอกชนของบริษัท จะมีการพิจารณาจากหลายส่วนด้วยกัน โดยจะต้องศึกษาถึงงบการเงิน พื้นฐานของบริษัท ประวัติของผู้บริหาร แนวโน้มของธุรกิจที่ทำ และความสามารถในการชำระหนี้อย่างรอบคอบก่อนถึงจะเขาลงทุนได้ ซึ่งน่าจะสร้างความปลอดภัยและมั่นคงให้กับนักลงทุนได้
นางสาวธีรินทร์ กล่าวอีกว่า การที่อัตราดอกเบี้ยเงินฝากปรับตัวลดลงอยู่ในระดับต่ำ และทำให้นักลงทุนบางส่วนอาจหันมาให้ความสนใจลงทุนในหุ้นกู้มากขึ้น ทางบริษัทเชื่อว่ากองทุนสเปเชี่ยล พลัสที่ตั้งขึ้นน่าจะตอบสนองความต้องการในส่วนนี้ได้ ซึ่งคาดว่าแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยน่าจะอยู่ในช่วงขาลงต่อไป และการลงทุนในระยะเวลา 2 ปีน่าจะเป็นการล็อกผลตอบแทนได้ดีกว่าที่จะลงทุนในระยะสั้นที่จะทำให้ผลตอบแทนลดลงตามไปด้วย
ทั้งนี้ หากในอนาคตนักลงทุนให้มาให้ความสนใจลงทุนในหุ้นกู้เอกชนจำนวนมากขึ้นคงจะไม่มีปัญหากับการหาสินค้าให้กับนักลงทุน เนื่องจากในปัจจุบันบริษัทจะตรวจสอบตลาดก่อนว่ามีสินค้าออกมาจำนวนเท่าไรก่อนที่จะทำการเปิดขายกองทุน โดยจะไม่นำตราสารหนี้ประเภทอื่นเข้ามาผสม เพราะเกรงว่าจะทำให้อัตราผลตอบแทนลดลงได้
นางสาวธีรินทร์ กล่าวอีกว่า ในครึ่งปีแรกของปีนี้บริษัทยังไม่มีแผนการเปิดขายกองหุ้นใหม่ เนื่องจากเชื่อว่ากองทุนหุ้นที่บริษัทมีอยู่ในขณะนี้น่าจะตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ครบทุกรูปแบบแล้ว ทั้งกองที่มีการจ่ายปันผล ไม่จ่ายปันผล และกองซีเล็กฟันด์
นางสาวธีรินทร์ สุวรรณเตมีย์ หัวหน้าการตลาดธุรกิจกองทุนรวม และกองทุนส่วนบุคคล บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) ทิสโก้ จำกัด เปิดเผยว่า การเปิดขาย"กองทุนเปิด ทิสโก้ สเปเชี่ยล พลัส 8" ระหว่างวันที่ 4-13 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมามียอดการลงทุนอยู่ที่ประมาณ 87 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นการตอบรับที่ดีจากนักลงทุนพอสมควรทำให้มียอดการลทุนผ่านกองทุนในซีรี่ส์นี้แล้วประมาณ 964 ล้านบาทจากกองทุนที่เปิดขายจำนวน 7 กอง และครบอายุโครงการไปแล้ว 1 กอง
ทั้งนี้ บริษัทยังคงเป้าการออกกองทุนช่วงครึ่งปีแรกสำหรับกองทุนตราสารหนี้ สเปเชี่ยล พลัสไว้ที่ 12 กองตามเดิม ส่วนกองที่ 9 ขณะนี้ยังอยู่ระหว่างการพิจารณาว่าจะนำเสนอขายในช่วงใดแน่นอน แต่เบื้องต้นจะยังเป็นไปตามแผนเดิมคือประมาณ 2 กองทุนในแต่ละเดือน
“เราต้องดูภาวะตลาดก่อนแล้วค่อยลงทุนซึ่งกองนี้ก็กำลังจะนำเงินไปลงทุน เพราะพึ่งปิดกองไป โดยเราก็จะพยายามออกมาให้ต่อเนื่อง เหมือนกับกองทริกเกอร์ 15% ที่จะทยอยออกมาเช่นกัน เพื่อให้ลูกค้าสามารถเลือกลงไดตามความต้องการของเขา ซึ่งลูกค้าบางรายอาจจะรอจังหวะอยู่ และวิวของแต่ละคนก็ไม่เหมือนกันอีกด้วย”นางสาวธีรินทร์กล่าว
นางสาวธีรินทร์ กล่าวอีกว่า ผลตอบแทนของกองทุน เปิด ทิสโก้ สเปเชี่ยล พลัส 8 น่าจะอยู่ที่ประมาณ 3.1-3.2% ต่อปี ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่น่าสนใจสำหรับการลงทุนในหุ้นกู้ของเอกชนที่ปัจจุบันมีส่วนต่างจากผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลที่ปรับลดลงตามอัตราดอกเบี้ยโดยพันธบัตรรัฐบาลอายุ 1 ปีจะอยู่ที่ 1.5% และ 2 ปีอยู่ที่ 1.7%
“ที่ผ่านมาพันธบัตรรัฐบาลยิลด์มันปรับตัวลดลงมาก แต่หุ้นกู้เอกชนยังไม่ปรับลงมาจึงมองว่าน่าจะเป็นทางเลือกให้นักลงทุนได้ เพราะหุ้นกู้ภาคเอกชนที่ดีๆ ก็ยังมีให้เลือกลงทุนอยู่”นางสาวธีรินทร์กล่าว
สำหรับ ความกังวลของนักลงทุนเกี่ยวกับการผิดนัดชำระหนี้นั้น เชื่อว่าน่าจะยังมีบางส่วนที่ไม่มั่นใจอยู่กับเรื่องนี้ แต่การลงทุนของบริษัทในส่วนของหุ้นกู้ภาคเอกชนจะมีผู้จัดการกองทุนดูแลเป็นอย่างดี โดยจะไม่พิจารณาจากเรตติ้งเพียงอย่างเดียวเท่านั้น
ทั้งนี้ การพิจารณาก่อนการลงทุนในหุ้นกู้ภาคเอกชนของบริษัท จะมีการพิจารณาจากหลายส่วนด้วยกัน โดยจะต้องศึกษาถึงงบการเงิน พื้นฐานของบริษัท ประวัติของผู้บริหาร แนวโน้มของธุรกิจที่ทำ และความสามารถในการชำระหนี้อย่างรอบคอบก่อนถึงจะเขาลงทุนได้ ซึ่งน่าจะสร้างความปลอดภัยและมั่นคงให้กับนักลงทุนได้
นางสาวธีรินทร์ กล่าวอีกว่า การที่อัตราดอกเบี้ยเงินฝากปรับตัวลดลงอยู่ในระดับต่ำ และทำให้นักลงทุนบางส่วนอาจหันมาให้ความสนใจลงทุนในหุ้นกู้มากขึ้น ทางบริษัทเชื่อว่ากองทุนสเปเชี่ยล พลัสที่ตั้งขึ้นน่าจะตอบสนองความต้องการในส่วนนี้ได้ ซึ่งคาดว่าแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยน่าจะอยู่ในช่วงขาลงต่อไป และการลงทุนในระยะเวลา 2 ปีน่าจะเป็นการล็อกผลตอบแทนได้ดีกว่าที่จะลงทุนในระยะสั้นที่จะทำให้ผลตอบแทนลดลงตามไปด้วย
ทั้งนี้ หากในอนาคตนักลงทุนให้มาให้ความสนใจลงทุนในหุ้นกู้เอกชนจำนวนมากขึ้นคงจะไม่มีปัญหากับการหาสินค้าให้กับนักลงทุน เนื่องจากในปัจจุบันบริษัทจะตรวจสอบตลาดก่อนว่ามีสินค้าออกมาจำนวนเท่าไรก่อนที่จะทำการเปิดขายกองทุน โดยจะไม่นำตราสารหนี้ประเภทอื่นเข้ามาผสม เพราะเกรงว่าจะทำให้อัตราผลตอบแทนลดลงได้
นางสาวธีรินทร์ กล่าวอีกว่า ในครึ่งปีแรกของปีนี้บริษัทยังไม่มีแผนการเปิดขายกองหุ้นใหม่ เนื่องจากเชื่อว่ากองทุนหุ้นที่บริษัทมีอยู่ในขณะนี้น่าจะตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ครบทุกรูปแบบแล้ว ทั้งกองที่มีการจ่ายปันผล ไม่จ่ายปันผล และกองซีเล็กฟันด์