สวัสดีครับท่านผู้อ่าน ในภาวะที่อัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่ำเช่นนี้ หลายท่านคงจะพยายามหาทางเลือกในการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนได้ดีกว่าเงินฝาก แต่มีความเสี่ยงอยู่ในระดับต่ำ บางท่านอาจจะเลือกลงทุนในทองคำ เพราะกำลังให้ผลตอบแทนดี ในขณะที่บางท่านเลือกลงทุนในกองทุนตราสารหนี้ระยะยาว เพราะปกติแล้วในช่วงที่อัตราดอกเบี้ยเป็นขาลง ตราสารหนี้ระยะยาวจะให้ผลตอบแทนที่ดี แต่อย่างไรก็ตาม การที่ตลาดมีความกังวลเกี่ยวกับปริมาณพันธบัตรที่จะออกมาชดเชยการขาดดุลจำนวนมาก กลับทำให้ผลตอบแทนของพันธบัตรระยะยาวเป็นไปในทิศทางตรงกันข้าม (ราคาพันธบัตรระยะยาวปรับตัวลดลง)
เนื่องด้วยอัตราดอกเบี้ยในตลาดอาจเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา ในขณะที่ supply ของพันธบัตรก็มีผลต่อราคาพันธบัตรเช่นกัน ดังนั้น หากคุณต้องการลงทุนในกองทุนตราสารหนี้ให้ได้ผลตอบแทนดีที่สุด คุณอาจจะต้องติดตามสถานการณ์และแนวโน้มเศรษฐกิจ รวมถึงต้องติดตามดูว่าจะมีพันธบัตรเข้าสู่ตลาดมากน้อยเพียงใด เพื่อที่จะได้เลือกลงทุนในกองทุนที่เหมาะสมในแต่ละช่วง โดยในแต่ละปี คุณอาจจะต้องทำการสับเปลี่ยนกองทุนหลายครั้ง หากทิศทางดอกเบี้ยมีความผันผวนมาก ซึ่งก็จะทำให้คุณต้องเสียค่าธรรมเนียมหลายครั้ง
อย่างไรก็ดี คุณสามารถโยนภาระในการวิเคราะห์ข้อมูลต่างๆให้ผู้จัดการกองทุนทำงานแทนคุณได้ ตามคอนเซ็ปท์ที่ว่า “ให้เงินทำงานผ่านกองทุนรวม” โดยลงทุนในกองทุนตราสารหนี้ที่มีนโยบายการบริหารแบบ active กองทุนประเภทนี้จะเน้นลงทุนในตราสารหนี้ และเงินฝาก เช่นเดียวกับกองทุนตราสารหนี้ทั่วๆไป ที่แตกต่างก็คือ กองทุนตราสารหนี้ทั่วไปมักจะมีการกำหนดแน่นอนว่าอายุเฉลี่ยของกองทุนควรจะเป็นเท่าใด เช่น กองทุนตราสารหนี้ระยะสั้น ที่กำหนดว่ามีอายุเฉลี่ยของกองทุนไม่เกิน 1 ปี กองทุนตราสารหนี้ระยะยาว ที่กำหนดว่ามีอายุเฉลี่ยของกองทุนไม่ต่ำกว่า 5 ปี
แต่สำหรับกองทุนตราสารหนี้ที่มีการบริหารแบบ active ผู้จัดการกองทุนจะมีหน้าที่ในการปรับพอร์ตการลงทุนให้เหมาะสมกับตลาดในแต่ละช่วง เพื่อที่จะสร้างผลตอบแทนที่ดีภายใต้ระดับความเสี่ยงที่เหมาะสม ดังนั้น ผู้จัดการกองทุน จึงมีหน้าที่ในการติดตามข้อมูลข่าวสารต่างๆที่อาจส่งผลกระทบต่อตลาดตราสารหนี้ เพื่อนำมาวิเคราะห์และวางกลยุทธ์การลงทุนอย่างมีประสิทธิภาพ เช่น หากผู้จัดการกองทุนมองว่า อัตราดอกเบี้ยอยู่ในช่วงขาลง ผู้จัดการกองทุนอาจเพิ่มอายุเฉลี่ยของกองทุน โดยปรับลดการถือครองตราสารหนี้ระยะสั้น (เพราะเมื่อตราสารครบอายุ เงินที่นำไปลงทุนในตราสารที่ออกใหม่จะได้รับอัตราดอกเบี้ยน้อยลง ตามดอกเบี้ยตลาดที่ปรับตัวลง) และเพิ่มสัดส่วนการถือครองตราสารหนี้ระยะยาวมากขึ้น ในทางตรงกันข้าม หากผู้จัดการกองทุนมองว่าอัตราดอกเบี้ยเป็นขาขึ้น ผู้จัดการกองทุนก็จะลดอายุเฉลี่ยของกองทุนลง โดยเพิ่มสัดส่วนของตราสารหนี้ระยะสั้น และลดสัดส่วนของตราสารหนี้ระยะยาวลง แต่หากผู้จัดการกองทุนประเมินว่า ปริมาณพันธบัตรจะมีผลต่อราคามากกว่าทิศทางดอกเบี้ย ผู้จัดการกองทุนก็จะให้ความสำคัญกับปริมาณพันธบัตรมากกว่า
จะเห็นได้ว่า การลงทุนในกองทุนตราสารหนี้ที่มีการบริหารแบบ active จะช่วยลดภาระการตัดสินใจลงทุนของคุณได้ โดยให้ทีมงานมืออาชีพที่ใช้ชีวิตเกือบทั้งวันอยู่กับตลาดตราสารหนี้ รับภาระในการติดตามข้อมูลข่าวสารแทนคุณ อย่างไรก็ดี กองทุนตราสารหนี้ก็เหมือนกองทุนทั่วๆไปตรงที่มีโอกาสขาดทุนได้ในบางช่วง ถึงแม้ว่ากองทุนจะถือพันธบัตรรัฐบาล 100% ก็ตาม เพราะทุกๆวันกองทุนจะถูก mark to market (ประเมินมูลค่ายุติธรรม) ตามราคาพันธบัตรที่เปลี่ยนไปทุกวัน ซึ่งความผันผวนของกองทุนตราสารหนี้ ก็ขึ้นอยู่กับความผันผวนของอัตราดอกเบี้ยในตลาดนั่นเอง
หากท่านผู้อ่านมีความสนใจที่ลงทุนตามลักษณะความต้องการดังกล่าวข้างต้น กองทุนเปิดอยุธยาตราสารหนี้ระยะกลาง หรือAYFMTFI ของ บลจ.อยุธยา ก็น่าจะสามารถตอบโจทย์ให้แก่ท่านผู้อ่านได้เป็นอย่างดี ทั้งนี้เนื่องมาจากกองทุนเปิดอยุธยาตราสารหนี้ระยะกลาง ผู้จัดการกองทุนสามารถปรับพอร์ตการลงทุนให้อายุเฉลี่ยของกองทุนสั้นหรือยาวได้ตามความเหมาะสมกับตลาดในขณะนั้น เพื่อให้ผู้ลงทุนมีโอกาสได้รับผลตอบแทนที่ดีได้ไม่ว่าจะเป็นภาวะดอกเบี้ยขาขึ้นหรือดอกเบี้ยขาลง อย่างเช่นในปัจจุบันกองทุนมีผลการดำเนินงาน ย้อนหลัง 3 เดือน อยู่ที่ 10.19 % ต่อปี และย้อนหลัง 6 เดือนอยู่ที่ 6.93 % ต่อปี (ข้อมูล ณ วันที่ 30 มกราคม 2552 ) อย่างไรก็ตาม ราคาของกองทุนนี้ก็อาจมีการปรับลดลงได้ในบางวันเพราะทุกๆวันกองทุนจะถูก mark to market (ประเมินมูลค่ายุติธรรม) ตามราคาตราสารหนี้ซึ่งอยู่ในพอร์ตของกองทุนที่เปลี่ยนไปทุกวัน แต่สำหรับการลงทุนในระยะปานกลาง คือการลงทุนในระยะเวลา 1 ปี ขึ้นไป มีโอกาสสูงที่ท่านจะได้รับผลตอบแทนมากกว่าการลงทุนในกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้น
โดยผลการดำเนินงานของกองทุนเปิดอยุธยาตราสารหนี้ระยะกลาง ย้อนหลัง 1 ปี ให้ผลตอบแทน 4.36 % ต่อปี (ข้อมูล ณ วันที่ 30 มกราคม 2552 ) ซึ่งเมื่อเทียบกับกองทุนเปิดอยุธยาตราสารเงินพลัส ซึ่งเป็นกองทุนรวมตลาดเงิน ผู้ลงทุนจะได้รับผลตอบแทนต่ำกว่า คือ ย้อนหลัง 1 ปี ให้ผลตอบแทน 2.89 % ต่อปี (ข้อมูล ณ วันที่ 30 มกราคม 2552 ) นอกจากนี้กองทุนตราสารหนี้ระยะกลางยังมีความเสี่ยงจากการผิดนัดชำระหนี้ของผู้ออกตราสารต่ำมาก เพราะมีนโยบายการลงทุนเข้มงวดมาก คือจะต้องลงทุนในตราสารหนี้ภาครัฐโดยเฉลี่ยในรอบบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน โดยส่วนที่เหลือสามารถลงทุนในตราสารหนี้ภาคเอกชนได้แต่จะต้องมีอันดับความน่าเชื่อถือในระยะปานกลางหรือระยะยาวในระดับ A- เป็นต้นไป หรือระยะสั้นในระดับ F2, T2 เป็นต้นไป นอกจากนักลงทุนทั่วไปแล้ว ในขณะนี้กองทุนเปิดอยุธยาตราสารหนี้ระยะกลางยังเป็นหนึ่งในกองทุนที่ได้รับความไว้วางใจจาก AIA ซึ่งเป็นบริษัทประกันชีวิตที่มีชื่อเสียงมากที่สุดบริษัทหนึ่ง ที่มีการนำเสนอผลิตภัณฑ์ทางการเงินใหม่ในประเทศไทย คือ กรมธรรม์ชีวิตควบการลงทุนหรือที่เรียกกันว่า Unit Link โดยได้คัดเลือกเป็นหนึ่งในกองทุนเพียงไม่กี่กองทุนในประเทศให้กับลูกค้าของทาง AIA เลือกลงทุน อีกด้วย
ดังนั้น หากท่านมีเงินที่ต้องการลงทุนในระยะปานกลางจนถึงระยะยาว และสามารถรับความผันผวนของราคาในระยะสั้นได้ โดยมีโอกาสได้รับผลตอบแทนที่ดีกว่าที่ท่านจะทิ้งเงินไว้ในบัญชีเงินฝาก หรือแม้แต่กองทุนรวมตลาดเงิน ในขณะเดียวกันก็มีความเสี่ยงจากการผิดนัดชำระหนี้ของผู้ออกตราสารต่ำมาก กองทุนอยุธยาตราสารหนี้ระยะกลาง หรือAYFMTFI ของ บลจ.อยุธยา ก็เป็นหนึ่งในทางเลือกที่ดี ที่จะให้เงินทำงานแทนท่านในวันที่ท่านต้องเก็บแรงไว้รับมือกับภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันจริงมั้ยครับ
เนื่องด้วยอัตราดอกเบี้ยในตลาดอาจเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา ในขณะที่ supply ของพันธบัตรก็มีผลต่อราคาพันธบัตรเช่นกัน ดังนั้น หากคุณต้องการลงทุนในกองทุนตราสารหนี้ให้ได้ผลตอบแทนดีที่สุด คุณอาจจะต้องติดตามสถานการณ์และแนวโน้มเศรษฐกิจ รวมถึงต้องติดตามดูว่าจะมีพันธบัตรเข้าสู่ตลาดมากน้อยเพียงใด เพื่อที่จะได้เลือกลงทุนในกองทุนที่เหมาะสมในแต่ละช่วง โดยในแต่ละปี คุณอาจจะต้องทำการสับเปลี่ยนกองทุนหลายครั้ง หากทิศทางดอกเบี้ยมีความผันผวนมาก ซึ่งก็จะทำให้คุณต้องเสียค่าธรรมเนียมหลายครั้ง
อย่างไรก็ดี คุณสามารถโยนภาระในการวิเคราะห์ข้อมูลต่างๆให้ผู้จัดการกองทุนทำงานแทนคุณได้ ตามคอนเซ็ปท์ที่ว่า “ให้เงินทำงานผ่านกองทุนรวม” โดยลงทุนในกองทุนตราสารหนี้ที่มีนโยบายการบริหารแบบ active กองทุนประเภทนี้จะเน้นลงทุนในตราสารหนี้ และเงินฝาก เช่นเดียวกับกองทุนตราสารหนี้ทั่วๆไป ที่แตกต่างก็คือ กองทุนตราสารหนี้ทั่วไปมักจะมีการกำหนดแน่นอนว่าอายุเฉลี่ยของกองทุนควรจะเป็นเท่าใด เช่น กองทุนตราสารหนี้ระยะสั้น ที่กำหนดว่ามีอายุเฉลี่ยของกองทุนไม่เกิน 1 ปี กองทุนตราสารหนี้ระยะยาว ที่กำหนดว่ามีอายุเฉลี่ยของกองทุนไม่ต่ำกว่า 5 ปี
แต่สำหรับกองทุนตราสารหนี้ที่มีการบริหารแบบ active ผู้จัดการกองทุนจะมีหน้าที่ในการปรับพอร์ตการลงทุนให้เหมาะสมกับตลาดในแต่ละช่วง เพื่อที่จะสร้างผลตอบแทนที่ดีภายใต้ระดับความเสี่ยงที่เหมาะสม ดังนั้น ผู้จัดการกองทุน จึงมีหน้าที่ในการติดตามข้อมูลข่าวสารต่างๆที่อาจส่งผลกระทบต่อตลาดตราสารหนี้ เพื่อนำมาวิเคราะห์และวางกลยุทธ์การลงทุนอย่างมีประสิทธิภาพ เช่น หากผู้จัดการกองทุนมองว่า อัตราดอกเบี้ยอยู่ในช่วงขาลง ผู้จัดการกองทุนอาจเพิ่มอายุเฉลี่ยของกองทุน โดยปรับลดการถือครองตราสารหนี้ระยะสั้น (เพราะเมื่อตราสารครบอายุ เงินที่นำไปลงทุนในตราสารที่ออกใหม่จะได้รับอัตราดอกเบี้ยน้อยลง ตามดอกเบี้ยตลาดที่ปรับตัวลง) และเพิ่มสัดส่วนการถือครองตราสารหนี้ระยะยาวมากขึ้น ในทางตรงกันข้าม หากผู้จัดการกองทุนมองว่าอัตราดอกเบี้ยเป็นขาขึ้น ผู้จัดการกองทุนก็จะลดอายุเฉลี่ยของกองทุนลง โดยเพิ่มสัดส่วนของตราสารหนี้ระยะสั้น และลดสัดส่วนของตราสารหนี้ระยะยาวลง แต่หากผู้จัดการกองทุนประเมินว่า ปริมาณพันธบัตรจะมีผลต่อราคามากกว่าทิศทางดอกเบี้ย ผู้จัดการกองทุนก็จะให้ความสำคัญกับปริมาณพันธบัตรมากกว่า
จะเห็นได้ว่า การลงทุนในกองทุนตราสารหนี้ที่มีการบริหารแบบ active จะช่วยลดภาระการตัดสินใจลงทุนของคุณได้ โดยให้ทีมงานมืออาชีพที่ใช้ชีวิตเกือบทั้งวันอยู่กับตลาดตราสารหนี้ รับภาระในการติดตามข้อมูลข่าวสารแทนคุณ อย่างไรก็ดี กองทุนตราสารหนี้ก็เหมือนกองทุนทั่วๆไปตรงที่มีโอกาสขาดทุนได้ในบางช่วง ถึงแม้ว่ากองทุนจะถือพันธบัตรรัฐบาล 100% ก็ตาม เพราะทุกๆวันกองทุนจะถูก mark to market (ประเมินมูลค่ายุติธรรม) ตามราคาพันธบัตรที่เปลี่ยนไปทุกวัน ซึ่งความผันผวนของกองทุนตราสารหนี้ ก็ขึ้นอยู่กับความผันผวนของอัตราดอกเบี้ยในตลาดนั่นเอง
หากท่านผู้อ่านมีความสนใจที่ลงทุนตามลักษณะความต้องการดังกล่าวข้างต้น กองทุนเปิดอยุธยาตราสารหนี้ระยะกลาง หรือAYFMTFI ของ บลจ.อยุธยา ก็น่าจะสามารถตอบโจทย์ให้แก่ท่านผู้อ่านได้เป็นอย่างดี ทั้งนี้เนื่องมาจากกองทุนเปิดอยุธยาตราสารหนี้ระยะกลาง ผู้จัดการกองทุนสามารถปรับพอร์ตการลงทุนให้อายุเฉลี่ยของกองทุนสั้นหรือยาวได้ตามความเหมาะสมกับตลาดในขณะนั้น เพื่อให้ผู้ลงทุนมีโอกาสได้รับผลตอบแทนที่ดีได้ไม่ว่าจะเป็นภาวะดอกเบี้ยขาขึ้นหรือดอกเบี้ยขาลง อย่างเช่นในปัจจุบันกองทุนมีผลการดำเนินงาน ย้อนหลัง 3 เดือน อยู่ที่ 10.19 % ต่อปี และย้อนหลัง 6 เดือนอยู่ที่ 6.93 % ต่อปี (ข้อมูล ณ วันที่ 30 มกราคม 2552 ) อย่างไรก็ตาม ราคาของกองทุนนี้ก็อาจมีการปรับลดลงได้ในบางวันเพราะทุกๆวันกองทุนจะถูก mark to market (ประเมินมูลค่ายุติธรรม) ตามราคาตราสารหนี้ซึ่งอยู่ในพอร์ตของกองทุนที่เปลี่ยนไปทุกวัน แต่สำหรับการลงทุนในระยะปานกลาง คือการลงทุนในระยะเวลา 1 ปี ขึ้นไป มีโอกาสสูงที่ท่านจะได้รับผลตอบแทนมากกว่าการลงทุนในกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้น
โดยผลการดำเนินงานของกองทุนเปิดอยุธยาตราสารหนี้ระยะกลาง ย้อนหลัง 1 ปี ให้ผลตอบแทน 4.36 % ต่อปี (ข้อมูล ณ วันที่ 30 มกราคม 2552 ) ซึ่งเมื่อเทียบกับกองทุนเปิดอยุธยาตราสารเงินพลัส ซึ่งเป็นกองทุนรวมตลาดเงิน ผู้ลงทุนจะได้รับผลตอบแทนต่ำกว่า คือ ย้อนหลัง 1 ปี ให้ผลตอบแทน 2.89 % ต่อปี (ข้อมูล ณ วันที่ 30 มกราคม 2552 ) นอกจากนี้กองทุนตราสารหนี้ระยะกลางยังมีความเสี่ยงจากการผิดนัดชำระหนี้ของผู้ออกตราสารต่ำมาก เพราะมีนโยบายการลงทุนเข้มงวดมาก คือจะต้องลงทุนในตราสารหนี้ภาครัฐโดยเฉลี่ยในรอบบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน โดยส่วนที่เหลือสามารถลงทุนในตราสารหนี้ภาคเอกชนได้แต่จะต้องมีอันดับความน่าเชื่อถือในระยะปานกลางหรือระยะยาวในระดับ A- เป็นต้นไป หรือระยะสั้นในระดับ F2, T2 เป็นต้นไป นอกจากนักลงทุนทั่วไปแล้ว ในขณะนี้กองทุนเปิดอยุธยาตราสารหนี้ระยะกลางยังเป็นหนึ่งในกองทุนที่ได้รับความไว้วางใจจาก AIA ซึ่งเป็นบริษัทประกันชีวิตที่มีชื่อเสียงมากที่สุดบริษัทหนึ่ง ที่มีการนำเสนอผลิตภัณฑ์ทางการเงินใหม่ในประเทศไทย คือ กรมธรรม์ชีวิตควบการลงทุนหรือที่เรียกกันว่า Unit Link โดยได้คัดเลือกเป็นหนึ่งในกองทุนเพียงไม่กี่กองทุนในประเทศให้กับลูกค้าของทาง AIA เลือกลงทุน อีกด้วย
ดังนั้น หากท่านมีเงินที่ต้องการลงทุนในระยะปานกลางจนถึงระยะยาว และสามารถรับความผันผวนของราคาในระยะสั้นได้ โดยมีโอกาสได้รับผลตอบแทนที่ดีกว่าที่ท่านจะทิ้งเงินไว้ในบัญชีเงินฝาก หรือแม้แต่กองทุนรวมตลาดเงิน ในขณะเดียวกันก็มีความเสี่ยงจากการผิดนัดชำระหนี้ของผู้ออกตราสารต่ำมาก กองทุนอยุธยาตราสารหนี้ระยะกลาง หรือAYFMTFI ของ บลจ.อยุธยา ก็เป็นหนึ่งในทางเลือกที่ดี ที่จะให้เงินทำงานแทนท่านในวันที่ท่านต้องเก็บแรงไว้รับมือกับภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันจริงมั้ยครับ