xs
xsm
sm
md
lg

กบข.หวั่นเอกชนเบี้ยวจ่ายหนี้ ลดน้ำหนักหุ้นกู้ถือเพิ่มบอนด์รัฐ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ASTV ผู้จัดการรายวัน - กบข. ปรับแผนลงทุนตราสารหนี้ปี 2552 รับมือเศรษฐกิจซบ เดินหน้าเพิ่มน้ำหนักลงทุนตราสารหนี้ภาครัฐ ลดน้ำหนักลงทุนหุ้นกู้เอกชน ป้องกันความเสี่ยงผิดนัดชำระหนี้ พร้อมคาดกนง.ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีกจนเหลือ 1.0 -1.5% ในเดือนเมษายนนี้ เช่นเดียวกับงดเทน้ำหนักลงทุนหุ้นต่างแดน

นายวิสิฐ ตันติสุนทร เลขาธิการคณะกรรมการกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) กล่าวถึงกลยุทธ์การลงทุนตราสารหนี้ในปี2552ว่านโยบายการลงทุนในตราสารหนี้ของ กบข. ในปีนี้ จะให้น้ำหนักกับการลงทุนในตราสารหนี้ภาครัฐ (Sovereign) เพื่อป้องกันความเสี่ยงการลงทุนจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงมาก อย่างไรก็ตาม ในส่วนของตราสารหนี้ที่ออกโดยภาคเอกชน กบข. จะเลือกลงทุนเฉพาะที่มีอันดับเครดิตสูง และต้องมีการติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เพื่อป้องกันความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการผิดนัดชำระหนี้ โดย กบข. มีกระบวนการกำกับและบริหารความเสี่ยงที่เป็นระบบ ซึ่งรวมถึงมีการกำหนดวงเงินลงทุน โดยประเมินจากความสามารถในการชำระหนี้ของผู้ออกตราสาร จึงช่วยลดความเสี่ยงด้านการชำระคืนไปได้มาก

สำหรับแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยในปีนี้คาดว่าอยู่ในช่วงขาลง โดยคาดว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะมีการพิจารณาปรับลดอัตราดอกเบี้ยในตลาดซื้อคืนพันธบัตร (อาร์พี) ซึ่งเป็นดอกเบี้ยนโยบายลงมาอยู่ที่ร้อยละ 1.0 - 1.5 ภายในเดือนเมษายน เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจให้เกิดการบริโภคและลงทุน จากปัจจุบันดอกเบี้ยอาร์พีอยู่ที่ร้อยละ 2.00 ส่วนอัตราเงินเฟ้อจะอยู่ในระดับต่ำไปจนถึงสิ้นไตรมาส 3 ของปีนี้ โดยบางเดือนมีโอกาสที่เงินเฟ้อจะติดลบได้ ซึ่งจะส่งผลให้ กนง. สามารถดำเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายได้มากขึ้น เพื่อสนับสนุนการขยายตัวทางเศรษฐกิจ

นอกจากนี้ ในส่วนของการลงทุนตลาดหุ้นในต่างประเทศ แม้ราคาหุ้นจะปรับตัวลดลงเป็นอย่างมากในช่วงที่ผ่านมา แต่ภาวะตลาดที่มีความผันผวน ทำให้ กบข. ยังไม่ตัดสินใจเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในหุ้นต่างประเทศเช่นเดียวกับตลาดหุ้นไทย อย่างไรก็ตาม หากความผันผวนในตลาดคลี่คลาย กบข. ก็พร้อมที่จะเริ่มเพิ่มสัดส่วนหุ้นต่างประเทศ โดยอาจจะเริ่มเพิ่มในส่วนของกลุ่มเอเชียไม่รวมญี่ปุ่นก่อน เพราะเป็นกลุ่มประเทศที่คาดว่าเศรษฐกิจจริงจะได้รับผลกระทบจากวิกฤติการเงินโลกน้อยกว่ากลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว ทำให้มีโอกาสที่จะฟื้นตัวได้เร็วกว่า

ส่วนพอร์ตการลงทุนในหุ้น กบข. ยังคงต้องติดตามผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในช่วงไตรมาส 4 ของปีที่ผ่านมาก่อนว่าจะเป็นอย่างไร หลังจากนั้น จึงจะตัดสินใจว่าจะให้น้ำหนักการลงทุนในหุ้นไทยเพิ่มขึ้นหรือไม่ โดยในเบื้องต้น กบข.จะเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในหุ้นไทยเป็น 9.5% หรือคิดเป็นเงินลงทุนประมาณ 6,000 ล้านบาท จากสัดส่วนการลงทุนในปัจจุบันที่ 7.5% ทั้งนี้ เนื่องจากเรามองว่า การลงทุนในหุ้นยังคงให้ผลตอบแทนสูงกว่าการฝากเงินในธนาคารพาณิชย์

โดยการเพิ่มน้ำหนัก จะให้ความสำคัญกับหุ้นในกลุ่มที่เป็นผู้นำในอุตสาหกรรม และมีอัตราการเติบโตของกำไรที่ดี เนื่องจากผลกระทบของวิกฤตเศรษฐกิจทั่วโลก ได้กระทบทั้งกำลังซื้อที่ลดลงและภาคการส่งออกที่ลดลง ซึ่งจากปัจจัยดังกล่าว จะทำให้กำไรของบริษัทจดทะเบียนลดลงด้วย หลังจากได้ส่งผลไปถึงราคาหุ้นไปแล้ว โดยบางบริษัทมีการปรับตัวลดลงกว่า 50% ขณะที่การลงทุนในหุ้นกลุ่มพลังงาน ในขณะนี้ กบข.เอง ยังไม่ได้มีการปรับน้ำหนักการลงทุน ส่วนหุ้น IRPC ที่ กบข.ถืออยู่ที่ 8% นั้น ก็ยังไม่มีการปรับพอร์ตขายหุ้นออกมาแต่อย่างใด แม้กลุ่มธุรกิจโรงกลั่นอาจจะประสบปัญหาก็ตาม

ขณะที่ ผลการดำเนินงานของกบข. ในช่วงปี 2551 ที่ผ่านมาว่า ณ สิ้นเดือนธันวาคมปี 51 กบข. มีผลตอบแทนจากการลงทุน -5.12% โดยปัจจุบัน มีสินทรัพย์สุทธิรวมทั้งสิ้น 391,882.24 ล้านบาท ทั้งนี้ การที่ผลตอบแทนลดลงดังกล่าว เป็นผลมาจากผลตอบแทนจากการลงทุนปรับตัวลดลงทั่วโลก ประกอบกับได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว และเสถียรภาพการเมืองภายในประเทศ
อย่างไรก็ตาม ผลตอบแทนของกบข. ยังคงเป็นไปตามเป้าหมาย โดยผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่จัดตั้งกองทุน อยู่ที่ 7.04% ส่วนผลตอบแทนย้อนหลัง 5 ปี อยู่ที่ 3.16% และผลตอบแทนย้อนหลัง 3 ปี อยู่ที่ 2.34% ทำให้มั่นใจว่าผลการดำเนินงานในปีนี้จะสามารถฟื้นกลับมาได้อย่างแน่นอน

ปัจจุบัน กบข.มีสัดส่วนการลงทุนในตราสารหนี้ในประเทศ 66.95% ตราสารทุนในประเทศ 7% ตราสารหนี้ต่างประเทศ 4.36% ตราสารทุนต่างประเทศ 9.07% กองทุนอสังหาริมทรัพย์ 4.74% และการลงทุนทางเลือก 7.88%
กำลังโหลดความคิดเห็น