ASTVผู้จัดการรายวัน - กบข. เล็งทุ่มเงิน 6,000 ล้านบาท เพิ่มน้ำหนักหุ้นไทยเป็น 9.5% จากเดิม 7.5% แต่ขอดูผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนไตรมาส 4 ปี 51 ก่อน ระบุตลาดหุ้นปีวัวยังผันผวนต่อ เหตุต้องรอเงินลงทุนต่างชาติ ที่ต้องเยียวยาประเทศของตัวเองก่อน ล่าสุด แจงผลงานทั้งปี 51 ผลตอบแทนติดลบ 5.12% แต่ยังมั่นใจ ปีนี้ฟื้นกลับมาแน่
นายวิสิฐ ตันติสุนทร เลขาธิการ คณะกรรมการกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) เปิดเผยว่า พอร์ตการลงทุนของกบข. ในปีนี้ ยังคงต้องติดตามผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในช่วงไตรมาส 4 ของปีที่ผ่านมาก่อนว่าจะเป็นอย่างไร หลังจากนั้น จึงจะตัดสินใจว่าจะให้น้ำหนักการลงทุนในหุ้นไทยเพิ่มขึ้นหรือไม่ โดยในเบื้องต้น กบข.จะเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในหุ้นไทยเป็น 9.5% หรือคิดเป็นเงินลงทุนประมาณ 6,000 ล้านบาท จากสัดส่วนการลงทุนในปัจจุบันที่ 7.5% ทั้งนี้ เนื่องจากเรามองว่า การลงทุนในหุ้นยังคงให้ผลตอบแทนสูงกว่าการฝากเงินในธนาคารพาณิชย์
โดยการเพิ่มน้ำหนักการลงทุนนั้น กบข. จะให้ความสำคัญกับหุ้นในกลุ่มที่เป็นผู้นำในอุตสาหกรรม และมีอัตราการเติบโตของกำไรที่ดี เนื่องจากผลกระทบของวิกฤตเศรษฐกิจทั่วโลก ได้กระทบทั้งกำลังซื้อที่ลดลงและภาคการส่งออกที่ลดลง ซึ่งจากปัจจัยดังกล่าว จะทำให้กำไรของบริษัทจดทะเบียนลดลงด้วย หลังจากได้ส่งผลไปถึงราคาหุ้นไปแล้ว โดยบางบริษัทมีการปรับตัวลดลงกว่า 50%
สำหรับการลงทุนในหุ้นกลุ่มพลังงาน ในขณะนี้ กบข.เอง ยังไม่ได้มีการปรับน้ำหนักการลงทุน ส่วนหุ้น IRPC ทมี่ กบข.ถืออยู่ที่ 8% นั้น ก็ยังไม่มีการปรับพอร์ตขายหุ้นออกมาแต่อย่างใด แม้กลุ่มธุรกิจโรงกลั่นอาจจะประสบปัญหาก็ตาม
อย่างไรก็ตาม แนวโน้มของตลาดหุ้นไทยในปีนี้ ยังคงผันผวนต่อ เนื่องจากไทยยังต้องอาศัยเงินทุนจากต่างชาติ ในการกำหนดทิศทางของดัชนี ดังนั้น การที่ต่างชาติขายหุ้นในช่วงที่ผ่านมา เพื่อนำเงินสดกลับไปเพิ่มสภาพคล่องทั้งในยุโรปและสหรัฐ และหากเศรษฐกิจของประเทศเหล่านั้นฟื้นตัว ก็ยังยากที่เม็ดเงินจะกลับมาลงทุนในประเทศไทย เนื่องจากเม็ดเงินที่จะใช้ลงทุนจะต้องนำไปลงทุนในประเทศตนเองก่อน หลังจากนั้นจึงจะมีการกระจายการลงทุนในภูมิภาคเอเชีย โดยไม่ได้เน้นที่จะต้องมีการลงทุนในประเทศไทย
ส่วนมาตรการภาษีที่รัฐบาลใช้กระตุ้นภาคธุรกิจอสังหาฯ รวมถึงมาตรการอื่นๆ ที่จะทยอยออกมานั้น เชื่อว่าน่าจะส่งผลต่อความเชื่อมั่นภาคเศรษฐกิจ อีกทั้งสามารถเพิ่มกำลังซื้อให้กับภาคประชาชนได้
ผลตอบแทนปี51ติดลบ5.12%
นายวิสิฐ เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานของกบข. ในช่วงปี 2551 ที่ผ่านมาว่า ณ สิ้นเดือนธันวาคมปี 51 กบข. มีผลตอบแทนจากการลงทุน -5.12% โดยปัจจุบัน มีสินทรัพย์สุทธิรวมทั้งสิ้น 391,882.24 ล้านบาท ทั้งนี้ การที่ผลตอบแทนลดลงดังกล่าว เป็นผลมาจากผลตอบแทนจากการลงทุนปรับตัวลดลงทั่วโลก ประกอบกับได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว และเสถียรภาพการเมืองภายในประเทศ
นอกจากนี้ ปัญหาเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นทั้งในสหรัฐ และราคาน้ำมันที่สูงขึ้นเป็นแรงกดดันให้เกินปัญหาเงินเฟ้อ รวมถึงการเคลื่อนย้ายเงินทุนจากตลาดหุ้นที่มีการไหลออกอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ตลาดหุ้นทั่วโลกอ่อนตัวลงอย่างรุนแรงกว่า 40% ขณะที่ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงมากถึง 50%
อย่างไรก็ตาม ผลตอบแทนของกบข. ยังคงเป็นไปตามเป้าหมาย โดยผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่จัดตั้งกองทุน อยู่ที่ 7.04% ส่วนผลตอบแทนย้อนหลัง 5 ปี อยู่ที่ 3.16% และผลตอบแทนย้อนหลัง 3 ปี อยู่ที่ 2.34%
นายวิสิฐกล่าวว่า สำหรับผลตอบแทนในปีนี้ กบข.มั่นใจว่าจะสามารถฟื้นกลับมาได้อย่างแน่นอน ซึ่งการที่ตลาดการเงินยังมีความผันผวนสูง จึงได้มีการเตรียมปรับแผนการลงทุน และศึกษาลู่ทางการลงทุนใหม่ๆ ทั้งในและต่างประเทศ เพื่อป้องกันและลดความความเสี่ยงการลงทุน โดยมองหาโอกาสการลงทุนเพิ่มเต้มทั้งในและต่างประเทศมากขึ้น
"การลงทุนทุกประเภทเป็นไปได้ทั้งบวกและลบ ซึ่งหากพิจารณาผลตอบแทนในระยะสั้น ก็จะเห็นว่าพบความผันผวนในระยะสั้นได้ทั้งบวกและลบ ดังนั้น กบข.ซึ่งเป็นกองทุนเงินออมระยะยาว ก็ต้องดูผลตอบแทนในระยะยาวเป็นสำคัญ"นายวิสิฐกล่าว
ปัจจุบัน กบข.มีสัดส่วนการลงทุนในตราสารหนี้ในประเทศ 66.95% ตราสารทุนในประเทศ 7% ตราสารหนี้ต่างประเทศ 4.36% ตราสารทุนต่างประเทศ 9.07% กองทุนอสังหาริมทรัพย์ 4.74% และการลงทุนทางเลือก 7.88%
นายวิสิฐ ตันติสุนทร เลขาธิการ คณะกรรมการกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) เปิดเผยว่า พอร์ตการลงทุนของกบข. ในปีนี้ ยังคงต้องติดตามผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในช่วงไตรมาส 4 ของปีที่ผ่านมาก่อนว่าจะเป็นอย่างไร หลังจากนั้น จึงจะตัดสินใจว่าจะให้น้ำหนักการลงทุนในหุ้นไทยเพิ่มขึ้นหรือไม่ โดยในเบื้องต้น กบข.จะเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในหุ้นไทยเป็น 9.5% หรือคิดเป็นเงินลงทุนประมาณ 6,000 ล้านบาท จากสัดส่วนการลงทุนในปัจจุบันที่ 7.5% ทั้งนี้ เนื่องจากเรามองว่า การลงทุนในหุ้นยังคงให้ผลตอบแทนสูงกว่าการฝากเงินในธนาคารพาณิชย์
โดยการเพิ่มน้ำหนักการลงทุนนั้น กบข. จะให้ความสำคัญกับหุ้นในกลุ่มที่เป็นผู้นำในอุตสาหกรรม และมีอัตราการเติบโตของกำไรที่ดี เนื่องจากผลกระทบของวิกฤตเศรษฐกิจทั่วโลก ได้กระทบทั้งกำลังซื้อที่ลดลงและภาคการส่งออกที่ลดลง ซึ่งจากปัจจัยดังกล่าว จะทำให้กำไรของบริษัทจดทะเบียนลดลงด้วย หลังจากได้ส่งผลไปถึงราคาหุ้นไปแล้ว โดยบางบริษัทมีการปรับตัวลดลงกว่า 50%
สำหรับการลงทุนในหุ้นกลุ่มพลังงาน ในขณะนี้ กบข.เอง ยังไม่ได้มีการปรับน้ำหนักการลงทุน ส่วนหุ้น IRPC ทมี่ กบข.ถืออยู่ที่ 8% นั้น ก็ยังไม่มีการปรับพอร์ตขายหุ้นออกมาแต่อย่างใด แม้กลุ่มธุรกิจโรงกลั่นอาจจะประสบปัญหาก็ตาม
อย่างไรก็ตาม แนวโน้มของตลาดหุ้นไทยในปีนี้ ยังคงผันผวนต่อ เนื่องจากไทยยังต้องอาศัยเงินทุนจากต่างชาติ ในการกำหนดทิศทางของดัชนี ดังนั้น การที่ต่างชาติขายหุ้นในช่วงที่ผ่านมา เพื่อนำเงินสดกลับไปเพิ่มสภาพคล่องทั้งในยุโรปและสหรัฐ และหากเศรษฐกิจของประเทศเหล่านั้นฟื้นตัว ก็ยังยากที่เม็ดเงินจะกลับมาลงทุนในประเทศไทย เนื่องจากเม็ดเงินที่จะใช้ลงทุนจะต้องนำไปลงทุนในประเทศตนเองก่อน หลังจากนั้นจึงจะมีการกระจายการลงทุนในภูมิภาคเอเชีย โดยไม่ได้เน้นที่จะต้องมีการลงทุนในประเทศไทย
ส่วนมาตรการภาษีที่รัฐบาลใช้กระตุ้นภาคธุรกิจอสังหาฯ รวมถึงมาตรการอื่นๆ ที่จะทยอยออกมานั้น เชื่อว่าน่าจะส่งผลต่อความเชื่อมั่นภาคเศรษฐกิจ อีกทั้งสามารถเพิ่มกำลังซื้อให้กับภาคประชาชนได้
ผลตอบแทนปี51ติดลบ5.12%
นายวิสิฐ เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานของกบข. ในช่วงปี 2551 ที่ผ่านมาว่า ณ สิ้นเดือนธันวาคมปี 51 กบข. มีผลตอบแทนจากการลงทุน -5.12% โดยปัจจุบัน มีสินทรัพย์สุทธิรวมทั้งสิ้น 391,882.24 ล้านบาท ทั้งนี้ การที่ผลตอบแทนลดลงดังกล่าว เป็นผลมาจากผลตอบแทนจากการลงทุนปรับตัวลดลงทั่วโลก ประกอบกับได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว และเสถียรภาพการเมืองภายในประเทศ
นอกจากนี้ ปัญหาเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นทั้งในสหรัฐ และราคาน้ำมันที่สูงขึ้นเป็นแรงกดดันให้เกินปัญหาเงินเฟ้อ รวมถึงการเคลื่อนย้ายเงินทุนจากตลาดหุ้นที่มีการไหลออกอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ตลาดหุ้นทั่วโลกอ่อนตัวลงอย่างรุนแรงกว่า 40% ขณะที่ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงมากถึง 50%
อย่างไรก็ตาม ผลตอบแทนของกบข. ยังคงเป็นไปตามเป้าหมาย โดยผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่จัดตั้งกองทุน อยู่ที่ 7.04% ส่วนผลตอบแทนย้อนหลัง 5 ปี อยู่ที่ 3.16% และผลตอบแทนย้อนหลัง 3 ปี อยู่ที่ 2.34%
นายวิสิฐกล่าวว่า สำหรับผลตอบแทนในปีนี้ กบข.มั่นใจว่าจะสามารถฟื้นกลับมาได้อย่างแน่นอน ซึ่งการที่ตลาดการเงินยังมีความผันผวนสูง จึงได้มีการเตรียมปรับแผนการลงทุน และศึกษาลู่ทางการลงทุนใหม่ๆ ทั้งในและต่างประเทศ เพื่อป้องกันและลดความความเสี่ยงการลงทุน โดยมองหาโอกาสการลงทุนเพิ่มเต้มทั้งในและต่างประเทศมากขึ้น
"การลงทุนทุกประเภทเป็นไปได้ทั้งบวกและลบ ซึ่งหากพิจารณาผลตอบแทนในระยะสั้น ก็จะเห็นว่าพบความผันผวนในระยะสั้นได้ทั้งบวกและลบ ดังนั้น กบข.ซึ่งเป็นกองทุนเงินออมระยะยาว ก็ต้องดูผลตอบแทนในระยะยาวเป็นสำคัญ"นายวิสิฐกล่าว
ปัจจุบัน กบข.มีสัดส่วนการลงทุนในตราสารหนี้ในประเทศ 66.95% ตราสารทุนในประเทศ 7% ตราสารหนี้ต่างประเทศ 4.36% ตราสารทุนต่างประเทศ 9.07% กองทุนอสังหาริมทรัพย์ 4.74% และการลงทุนทางเลือก 7.88%