ASTVผู้จัดการรายวัน - วงการชี้เศรษฐกิจโลกปีที่ผ่านมายังไม่ถึงจุดต่ำสุด พร้อมหวังโอบามาช่วยสหรัฐฯฟื้นตัวขึ้น คาดไตรมาสหนึ่งเศรษฐกิจไทย - 0.6% และอาจได้เห็นจุดต่ำสุดของตลาดหุ้นในไตรมาส3 แนะจับตาดูเศรษฐกิจยุโรปอาจตามรอยมะกัน ส่วนราคาตราสารหนี้ในปีนี้ค่อนข้างผันผวนหนัก อีกทั้งผลตอบแทนต่ำ แนะนำนักลงทุนมองหาช่องทางอื่นช่วยเสริม ชูทองคำน่าสนใจมากสุด ราคาโตสวนทางสภาพเศรษฐกิจ ซึ่งจะสร้างผลตอบแทนให้กับนักลงทุนได้เป็นอย่างดี
นางอาภรณ์ ชีวะเกรียงไกร ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายกลยุทธ์และวางแผน กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ(กบข.) กล่าวในงานสัมนา "หุ้น - ทองคำ - พันธบัตร ...จัดพอร์ตให้ฉลาดรับปีฉลู" ว่า สำหรับเศรษฐกิจไทยขณะนี้ ถือว่ายังไม่ถึงจุดต่ำสุด โดยนักลงทุนยังจะคงได้เห็นตัวเลขเศรษฐกิจที่ต่ำมากกว่านี้ ซึ่งวิกฤตเศรษฐกิจครั้งนี้คาดว่าจะแตกต่างจากช่วงวิกฤตเศรษฐกิจเมื่อพ.ศ. 2540 เนื่องจากปัญหาเศรษฐกิจในครั้งนี้เกิดจากปัจจัยภายนอกหรือเศรษฐกิจโลกเข้ามาส่งผลกระทบไม่ได้เกิดจากภายในเหมือนครั้งที่ผ่านมา ทั้งนี้ได้มีนักวิเคราะห์ได้คาดการณ์ภาพรวมเศรษฐกิจไทยว่าที่ผ่านมาตลาดหุ้นยังไม่ได้อยู่จุดต่ำสุด
โดยจะพบว่าตัวเลขผลการดำเนินงานของสหรัฐอเมริกาที่จะประกาศออกมาของไตรมาส 4 ของปี 2551 จะติดลบ ซึ่งจากจุดนี้จะทำให้นักลงทุนขาดความเชื่อมั่นที่จะกลับเข้ามาลงทุนในไตรมาส 1 นี้ และในไตรมาส 2 ตัวเลขจะยังคงติดลบตามไตรมาสแรกของปีด้วย แต่สำหรับไตรมาส 3 นักวิเคราะห์ได้มีการคาดการณ์ไว้ว่าตัวเลขเศรษฐกิจจะติดลบเพียง 0.4 % เท่านั้น ส่วนไตรมาสสุดท้ายของปี 52 นั้นตัวเลขเศรษฐกิจอาจจะปรับเป็นบวกเพียงเล็กน้อย ขณะเดียวกัน เศรษฐกิจของญี่ปุ่นและยุโรปได้มีนักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ว่าเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศนี้จะติดลบทั้งปี
สำหรับสาเหตุที่เศรษฐกิจสหรัฐฯมีแนวโน้มฟื้นตัวเร็ว เนื่องจากการที่สหรัฐได้มีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงมาแรงจนปัจจุบันนี้อัตราดอกเบี้ยเกือบจะเหลือ 0% และจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง ทำให้ภาคธุรกิจ และภาคอสังหาริมทรัพย์ปรับตัวดีขึ้น ธนาคารกล้าที่จะปล่อยสินเชื่อมากขึ้น ซึ่งจะทำให้นักลงทุนกล้าที่จะกลับเข้าไปลงทุนมากขึ้นด้วย
ขณะเดียวกัน มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจการคลังของนาย โอบามา จะสามารถช่วยพยุงเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาไม่ให้ติดลบ โดยจะทำให้เศรษฐกิจสหรัฐมีความหยืดหยุ่น ทั้งนี้ มาตรการที่นายโอบามานำมาใช้ จะเป็นนโยบายที่เลือกใช้นั้นเน้นการกระจายที่เร็วและแรง เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจให้ได้ผลมากที่สุด
"การที่เศรษฐกิจชะลอตัวทำให้สินค้าในกลุ่มโภคภัณฑ์(คอมอดิตี) ปรับราคาลดลงจาก่อนหน้านี้ อีกทั้งทำให้กำลังซื้อลดลงตามไปด้วย ทั้งนี้ สำหรับการใช้มาตราการกระตุ้นเศรษฐกิจของไทยจะไม่ได้ผลหากว่าการเมืองภายในประเทศไม่นิ่ง โดยในไตรมาส 4/2551 นี้คาดว่าตัวเลขเศรษฐกิจจะอยู่ที่ -2% ในไตรมาส 1เศรษฐกิจจะติดลบ 0.6% แต่หากโชคดีมาตรการต่างๆได้ผลเร็วจะทำให้ไตรมาส 2 ตัวเลขเศรษฐกิจจะไม่ติดลบ"
นายวิศิษฏ์ องค์พิพฒนกุล กรรมการบริหาร และหัวหน้าฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์(บล.) ทิสโก้ จำกัด กล่าวว่า สำหรับตลาดหุ้นนั้นจะเห็นตัวเลขต่ำสุดในไตรมาสที่ 3 ของปีนี้ โดยราคาหุ้นตกลงต่ำสุดก่อนเศรษฐกิจ 3-6 เดือน ซึ่งการฟื้นตัวของระบบเศรษฐกิจนั้นจะต้องใช้ระยะเวลา 2-3 ปีกว่า อย่างไรก็ตาม สำหรับนักลงทุนคงได้รับข่าวดังกล่าวไปล่วงหน้าแล้ว
ทั้งนี้ สำหรับเศรษฐกิจทั่วโลก หลังจากที่สหรัฐอเมริกาประสบกับปัญหาการล้มละลายของวาณิชธนกิจชั้นนำ อาทิ เลห์แมน บราเธอร์ส โดยบริษัทเชื่อว่าจะไม่มีสถาบันการเงินของสหรัฐอเมริกาประสบกับภาวะการล้มละลายอีก แต่ที่น่าสนใจและน่าจับตามองมากกว่าเศรษฐกิจสหรัฐก็คือเศรษฐกิจยุโรปที่ได้รับผลกระทบไม่แตกต่างไปจากสหรัฐฯ โดยในฟากทางฝั่งยุโรปจะต้องจับตาดูประเทศยูเครน และอิตาลี เป็นพิเศษ ว่าแนวโน้มเศรษฐกิจของประเทศเหล่านี้จะเป็นอย่างไร
ขณะเดียวกัน เศรษฐกิจสหรัฐถือว่าผ่านพ้นช่วงวิกฤตมาแล้ว โดยตัวเลขเศรษฐกิจของไตรมาส 4/2551 ที่ประกาศออกมาอยู่ที่ -4.7% แต่สำหรับยุโรปนั้นเศรษฐกิจจะปรับตัวลงไปจุดต่ำสุดหลังสหรัฐฯ 3-6 เดือน ทั้งนี้ หากยุโรปประสบกับปัญหาวิกฤตทางการเงินจะทำให้การลงทุนในยุโรปสำหรับปีนี้ไม่ค่อยจะหวือหวามากนัก
อย่างไรก็ตาม สำหรับผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นได้ส่งผลต่อประเทศไทย โดยทำให้ช่วงที่ผ่านมามีเม็ดเงินไหลออกนอกประเทศกว่า 3.5% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (Gross Domestic Product หรือ GDP) แต่ทั้งนี้ในไตรมาส 2 ที่จะถึงนี้ กองทุนที่ลงทุนในพันธบัตรเกาหลีครบกำหนดอายุไหลกลับเข้ามาในประเทศกว่า 150,000 ล้านบาท จากที่ผ่านมาได้มีนักลงทุนชาวต่างชาติเทขายหุ้นในตลาดหุ้นจนทำให้มีเม็ดเงินไหลออกกว่า 3.5% ส่งผลให้ค่าเงินมีการผันผวน รวมไปถึงราคาหุ้น ทองคำ และดัชนีบริโภค แต่เงินเฟ้อจะมีการผันผวนมากที่สุด
"คาดว่าปีนี้ ค่าเงินเฟ้อในช่วงต้นปีนี้จะปรับตัวลดลง จากนั้นในช่วงกลางปีค่าเงินเฟ้อจะปรับตัวลดลงจนถึงติดลบ แต่หากว่าในช่วงปลายปีราคาน้ำมันปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 50-60 เหรียญต่อบาร์เรล ดัชนี้บริโภคจะผันผวน นอกจากนี้เม็ดเงินที่นักลงทุนต่างประเทศได้เทขายหุ้นเพื่อนำกลับประเทศ ขณะนี้ได้ทยอยกลับเข้ามาลงทุนในประเทศบ้างแล้ว แต่นักลงทุนควรที่จะติดตามข้อมูลข่าวสารอย่างใกล้ชิด"
ด้านนายอาสา อินทรวิชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการฝ่ายการลงทุนตราสารหนี้ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) อยุธยา จำกัด กล่าวว่า สำหรับการลงทุนในตราสารหนี้นั้น อัตราผลตอบแทนได้ปรับตัวลดลงมาจากกลางปีที่ 2551 แล้วแต่การลงทุนในตราสารหนี้นั้นจะมีสภาพคล่องสูงกว่าการลงทุนในตลาดหุ้น แต่ทั้งนี้จะมีความผันผวนบ้าง เนื่องจากผลตอบแทนของตราสารได้มีการปรับตัวลดลงมา จึงทำให้เภาครัฐได้มีมาตรการต่างๆออกมาช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งหลังจากนี้ รัฐบาลจะมีการออกตราสารหนี้ออกมาขายให้แก่นักลงทุนกว่าแสนล้านบาทและจะทำให้อัตราดอกเบี้ยในตลาดตราสารหนี้ปรับตัวเพิ่มมาด้วย
นอกจากนี้การลงทุนในตราสารหนี้ หลังจากปีที่ผ่านมาที่สหรัฐอเมริกาประสบกับปัญหาทางการเงินจนทำให้ประเทศเกิดภาวะขาดสภาพคล่องขึ้น และธนาคารกลางสหรัฐฯได้มีประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงมาจนเกือบจะเหลือ 0% เพื่อเพิ่มสภาพคล่องเข้าไปในตลาดเงิน ปัจจุบันได้ส่งผลให้ธนาคารต่างๆปล่อยสินเชื่อมากขึ้นเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจให้ดีขึ้น
นาย อาสา กล่าวอีกว่า การเกิดวิกฤตการเงินของสหรัฐฯในปี2551 ส่งผลให้ตลาดหุ้นภายในประเทศไทยต้องการหยุดการซื้อขายถึง 2 ครั้งด้วยกัน จึงทำให้ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นนักลงทุนเป็นอย่างมาก
อย่างไรก็ตาม ในส่วนของการลงทุนในตราสารหนี้ปีนี้ นักลงทุนควรเลือกลงทุนกับบริษัทที่มีการจัดอันดับการลงทุน(เรทติ้ง)และมีความั่นคงสูง โดยควรจะเน้นการลงทุนในพันธบัตรภาครัฐบาลมากกว่าหุ้นกู้เอกชน ซึ่งการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลเมื่อเทียบผลตอบแทนจะพบว่าให้ผลตอบแทนที่ไม่สูงนัก ขณะที่การลงทุนในหุ้นกู้เอกชนช่วงนี้ สามารถให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าพันธบัตรรัฐบาลแต่ความเสี่ยงของการลงทุนก็มีมากกว่า
"การลงทุนในตราสารหนี้ในปีนี้หากเปรียบเป็นช่วงเวลา ถือว่าเป็นช่วง 4 โมงเย็น เนื่องจากว่าหลังจากนี้เศรษฐกิจโลกที่ไม่ดี จะทำให้ผลตอบแทนที่จะได้รับน้อยลงไปด้วย ทำให้นักลงทุนที่เลือกลงทุนตราสารหนี้เป็นนักลงทุนที่ไม่ต้องการความเสี่ยงของการลงทุน อีกทั้งทิศทางการลงทุนหลังจากนี้ถึงแม้ว่าตราสารหนี้จะมีความน่าสนใจแต่จะไม่ได้รับความสนใจเท่ากับปีที่ผ่านมาที่ตราสารหนี้สามารถให้ผลตอบแทนที่ดี "นายอาสากล่าว
นาย กฤชรัตน์ หิรัชศิริ รองเลขาธิการสมาคมผู้ค้าทองคำ กล่าวว่า สำหรับราคาทองเป็นอะไรที่แตกต่างจากภาวะเศรษฐกิจโลก คือยิ่งเศรษฐกิจไม่ดีราคาทองจะยิ่งปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยในปีที่ผ่านมาที่เศรษฐกิจอยู่ในช่วงวิกฤตแต่ราคาทองในปี 2551 กลับปรับตัวเพิ่มขึ้นกว่า 3% ซึ่งในปี 2550 ราคาทองปรับตัวเพิ่มขึ้นกว่า 20% ทั้งนี้สำหรับผลตอบแทนของราคาทองที่ผ่านมานั้นสามารถให้ผลตอบแทนที่เป็นบวกแก่นักลงทุนทั้งนั้น
"สำหรับทองคำถือเป็นเซกเตอร์ที่แยกออกมาจากตลาดหุ้นอย่างชัดเจน เช่นในภาวะที่ตลาดหุ้นกำลังย่ำแย่แต่ราคาทองคำกลับโตสวนทางกลับตลาดโดยสิ้นเชิง โดยมั่นใจว่าราคาทองคำปีนี้จะดีอย่างแน่นอน เพราะหลายฝ่ายวิเคราะห์กันว่าเศรษฐกิจในปีนี้จะยังอยู่ในช่วงชะลอตัว ดังนั้นราคาทองคำซึ่งสวนกระแสกับตลาดจะสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีให้นักลงทุนได้
สำหรับราคาทองคำในตลาดขณะนี้ ขึ้นอยู่กับค่าเงินดอลลาร์ โดยที่ราคาทองคำจะปรับตัวไปในทิศทางที่ตรงกันข้ามกับค่าเงิน ดอลลาร์สหรัฐซึ่งในปี 2551 ที่ผ่านมาราคาทองคำมีความผันผวนสูงมากตั้งแต่ต้นปีไปจนถึงปลายปี และตลอดทั้งปีให้ผลตอบแทนเพิ่มขึ้นถึง 3%
นาย กฤชรัตน์ กล่าวอีกว่า สำหรับที่หลายฝ่ายมองว่าราคาน้ำมันกับราคาทองคำจะมีทิศทางไปในทางเดียวกันนั้น ที่ผ่านมาคงจะพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าราคาน้ำมันและราคาทองคำนั้นไม่ไได้มีแนวโน้มไปในทิศทางเดียวกัน เพราะจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวลดลงไม่ได้ทำให้ราคาทองคำปรับตัวลดลงตามราคาน้ำมันด้วยเลย แต่ราคาทองคำกับเพิ่มขึ้นสวนทางกับราคาน้ำมันโดยสิ้นเชิง
นางอาภรณ์ ชีวะเกรียงไกร ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายกลยุทธ์และวางแผน กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ(กบข.) กล่าวในงานสัมนา "หุ้น - ทองคำ - พันธบัตร ...จัดพอร์ตให้ฉลาดรับปีฉลู" ว่า สำหรับเศรษฐกิจไทยขณะนี้ ถือว่ายังไม่ถึงจุดต่ำสุด โดยนักลงทุนยังจะคงได้เห็นตัวเลขเศรษฐกิจที่ต่ำมากกว่านี้ ซึ่งวิกฤตเศรษฐกิจครั้งนี้คาดว่าจะแตกต่างจากช่วงวิกฤตเศรษฐกิจเมื่อพ.ศ. 2540 เนื่องจากปัญหาเศรษฐกิจในครั้งนี้เกิดจากปัจจัยภายนอกหรือเศรษฐกิจโลกเข้ามาส่งผลกระทบไม่ได้เกิดจากภายในเหมือนครั้งที่ผ่านมา ทั้งนี้ได้มีนักวิเคราะห์ได้คาดการณ์ภาพรวมเศรษฐกิจไทยว่าที่ผ่านมาตลาดหุ้นยังไม่ได้อยู่จุดต่ำสุด
โดยจะพบว่าตัวเลขผลการดำเนินงานของสหรัฐอเมริกาที่จะประกาศออกมาของไตรมาส 4 ของปี 2551 จะติดลบ ซึ่งจากจุดนี้จะทำให้นักลงทุนขาดความเชื่อมั่นที่จะกลับเข้ามาลงทุนในไตรมาส 1 นี้ และในไตรมาส 2 ตัวเลขจะยังคงติดลบตามไตรมาสแรกของปีด้วย แต่สำหรับไตรมาส 3 นักวิเคราะห์ได้มีการคาดการณ์ไว้ว่าตัวเลขเศรษฐกิจจะติดลบเพียง 0.4 % เท่านั้น ส่วนไตรมาสสุดท้ายของปี 52 นั้นตัวเลขเศรษฐกิจอาจจะปรับเป็นบวกเพียงเล็กน้อย ขณะเดียวกัน เศรษฐกิจของญี่ปุ่นและยุโรปได้มีนักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ว่าเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศนี้จะติดลบทั้งปี
สำหรับสาเหตุที่เศรษฐกิจสหรัฐฯมีแนวโน้มฟื้นตัวเร็ว เนื่องจากการที่สหรัฐได้มีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงมาแรงจนปัจจุบันนี้อัตราดอกเบี้ยเกือบจะเหลือ 0% และจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง ทำให้ภาคธุรกิจ และภาคอสังหาริมทรัพย์ปรับตัวดีขึ้น ธนาคารกล้าที่จะปล่อยสินเชื่อมากขึ้น ซึ่งจะทำให้นักลงทุนกล้าที่จะกลับเข้าไปลงทุนมากขึ้นด้วย
ขณะเดียวกัน มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจการคลังของนาย โอบามา จะสามารถช่วยพยุงเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาไม่ให้ติดลบ โดยจะทำให้เศรษฐกิจสหรัฐมีความหยืดหยุ่น ทั้งนี้ มาตรการที่นายโอบามานำมาใช้ จะเป็นนโยบายที่เลือกใช้นั้นเน้นการกระจายที่เร็วและแรง เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจให้ได้ผลมากที่สุด
"การที่เศรษฐกิจชะลอตัวทำให้สินค้าในกลุ่มโภคภัณฑ์(คอมอดิตี) ปรับราคาลดลงจาก่อนหน้านี้ อีกทั้งทำให้กำลังซื้อลดลงตามไปด้วย ทั้งนี้ สำหรับการใช้มาตราการกระตุ้นเศรษฐกิจของไทยจะไม่ได้ผลหากว่าการเมืองภายในประเทศไม่นิ่ง โดยในไตรมาส 4/2551 นี้คาดว่าตัวเลขเศรษฐกิจจะอยู่ที่ -2% ในไตรมาส 1เศรษฐกิจจะติดลบ 0.6% แต่หากโชคดีมาตรการต่างๆได้ผลเร็วจะทำให้ไตรมาส 2 ตัวเลขเศรษฐกิจจะไม่ติดลบ"
นายวิศิษฏ์ องค์พิพฒนกุล กรรมการบริหาร และหัวหน้าฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์(บล.) ทิสโก้ จำกัด กล่าวว่า สำหรับตลาดหุ้นนั้นจะเห็นตัวเลขต่ำสุดในไตรมาสที่ 3 ของปีนี้ โดยราคาหุ้นตกลงต่ำสุดก่อนเศรษฐกิจ 3-6 เดือน ซึ่งการฟื้นตัวของระบบเศรษฐกิจนั้นจะต้องใช้ระยะเวลา 2-3 ปีกว่า อย่างไรก็ตาม สำหรับนักลงทุนคงได้รับข่าวดังกล่าวไปล่วงหน้าแล้ว
ทั้งนี้ สำหรับเศรษฐกิจทั่วโลก หลังจากที่สหรัฐอเมริกาประสบกับปัญหาการล้มละลายของวาณิชธนกิจชั้นนำ อาทิ เลห์แมน บราเธอร์ส โดยบริษัทเชื่อว่าจะไม่มีสถาบันการเงินของสหรัฐอเมริกาประสบกับภาวะการล้มละลายอีก แต่ที่น่าสนใจและน่าจับตามองมากกว่าเศรษฐกิจสหรัฐก็คือเศรษฐกิจยุโรปที่ได้รับผลกระทบไม่แตกต่างไปจากสหรัฐฯ โดยในฟากทางฝั่งยุโรปจะต้องจับตาดูประเทศยูเครน และอิตาลี เป็นพิเศษ ว่าแนวโน้มเศรษฐกิจของประเทศเหล่านี้จะเป็นอย่างไร
ขณะเดียวกัน เศรษฐกิจสหรัฐถือว่าผ่านพ้นช่วงวิกฤตมาแล้ว โดยตัวเลขเศรษฐกิจของไตรมาส 4/2551 ที่ประกาศออกมาอยู่ที่ -4.7% แต่สำหรับยุโรปนั้นเศรษฐกิจจะปรับตัวลงไปจุดต่ำสุดหลังสหรัฐฯ 3-6 เดือน ทั้งนี้ หากยุโรปประสบกับปัญหาวิกฤตทางการเงินจะทำให้การลงทุนในยุโรปสำหรับปีนี้ไม่ค่อยจะหวือหวามากนัก
อย่างไรก็ตาม สำหรับผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นได้ส่งผลต่อประเทศไทย โดยทำให้ช่วงที่ผ่านมามีเม็ดเงินไหลออกนอกประเทศกว่า 3.5% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (Gross Domestic Product หรือ GDP) แต่ทั้งนี้ในไตรมาส 2 ที่จะถึงนี้ กองทุนที่ลงทุนในพันธบัตรเกาหลีครบกำหนดอายุไหลกลับเข้ามาในประเทศกว่า 150,000 ล้านบาท จากที่ผ่านมาได้มีนักลงทุนชาวต่างชาติเทขายหุ้นในตลาดหุ้นจนทำให้มีเม็ดเงินไหลออกกว่า 3.5% ส่งผลให้ค่าเงินมีการผันผวน รวมไปถึงราคาหุ้น ทองคำ และดัชนีบริโภค แต่เงินเฟ้อจะมีการผันผวนมากที่สุด
"คาดว่าปีนี้ ค่าเงินเฟ้อในช่วงต้นปีนี้จะปรับตัวลดลง จากนั้นในช่วงกลางปีค่าเงินเฟ้อจะปรับตัวลดลงจนถึงติดลบ แต่หากว่าในช่วงปลายปีราคาน้ำมันปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 50-60 เหรียญต่อบาร์เรล ดัชนี้บริโภคจะผันผวน นอกจากนี้เม็ดเงินที่นักลงทุนต่างประเทศได้เทขายหุ้นเพื่อนำกลับประเทศ ขณะนี้ได้ทยอยกลับเข้ามาลงทุนในประเทศบ้างแล้ว แต่นักลงทุนควรที่จะติดตามข้อมูลข่าวสารอย่างใกล้ชิด"
ด้านนายอาสา อินทรวิชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการฝ่ายการลงทุนตราสารหนี้ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) อยุธยา จำกัด กล่าวว่า สำหรับการลงทุนในตราสารหนี้นั้น อัตราผลตอบแทนได้ปรับตัวลดลงมาจากกลางปีที่ 2551 แล้วแต่การลงทุนในตราสารหนี้นั้นจะมีสภาพคล่องสูงกว่าการลงทุนในตลาดหุ้น แต่ทั้งนี้จะมีความผันผวนบ้าง เนื่องจากผลตอบแทนของตราสารได้มีการปรับตัวลดลงมา จึงทำให้เภาครัฐได้มีมาตรการต่างๆออกมาช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งหลังจากนี้ รัฐบาลจะมีการออกตราสารหนี้ออกมาขายให้แก่นักลงทุนกว่าแสนล้านบาทและจะทำให้อัตราดอกเบี้ยในตลาดตราสารหนี้ปรับตัวเพิ่มมาด้วย
นอกจากนี้การลงทุนในตราสารหนี้ หลังจากปีที่ผ่านมาที่สหรัฐอเมริกาประสบกับปัญหาทางการเงินจนทำให้ประเทศเกิดภาวะขาดสภาพคล่องขึ้น และธนาคารกลางสหรัฐฯได้มีประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงมาจนเกือบจะเหลือ 0% เพื่อเพิ่มสภาพคล่องเข้าไปในตลาดเงิน ปัจจุบันได้ส่งผลให้ธนาคารต่างๆปล่อยสินเชื่อมากขึ้นเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจให้ดีขึ้น
นาย อาสา กล่าวอีกว่า การเกิดวิกฤตการเงินของสหรัฐฯในปี2551 ส่งผลให้ตลาดหุ้นภายในประเทศไทยต้องการหยุดการซื้อขายถึง 2 ครั้งด้วยกัน จึงทำให้ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นนักลงทุนเป็นอย่างมาก
อย่างไรก็ตาม ในส่วนของการลงทุนในตราสารหนี้ปีนี้ นักลงทุนควรเลือกลงทุนกับบริษัทที่มีการจัดอันดับการลงทุน(เรทติ้ง)และมีความั่นคงสูง โดยควรจะเน้นการลงทุนในพันธบัตรภาครัฐบาลมากกว่าหุ้นกู้เอกชน ซึ่งการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลเมื่อเทียบผลตอบแทนจะพบว่าให้ผลตอบแทนที่ไม่สูงนัก ขณะที่การลงทุนในหุ้นกู้เอกชนช่วงนี้ สามารถให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าพันธบัตรรัฐบาลแต่ความเสี่ยงของการลงทุนก็มีมากกว่า
"การลงทุนในตราสารหนี้ในปีนี้หากเปรียบเป็นช่วงเวลา ถือว่าเป็นช่วง 4 โมงเย็น เนื่องจากว่าหลังจากนี้เศรษฐกิจโลกที่ไม่ดี จะทำให้ผลตอบแทนที่จะได้รับน้อยลงไปด้วย ทำให้นักลงทุนที่เลือกลงทุนตราสารหนี้เป็นนักลงทุนที่ไม่ต้องการความเสี่ยงของการลงทุน อีกทั้งทิศทางการลงทุนหลังจากนี้ถึงแม้ว่าตราสารหนี้จะมีความน่าสนใจแต่จะไม่ได้รับความสนใจเท่ากับปีที่ผ่านมาที่ตราสารหนี้สามารถให้ผลตอบแทนที่ดี "นายอาสากล่าว
นาย กฤชรัตน์ หิรัชศิริ รองเลขาธิการสมาคมผู้ค้าทองคำ กล่าวว่า สำหรับราคาทองเป็นอะไรที่แตกต่างจากภาวะเศรษฐกิจโลก คือยิ่งเศรษฐกิจไม่ดีราคาทองจะยิ่งปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยในปีที่ผ่านมาที่เศรษฐกิจอยู่ในช่วงวิกฤตแต่ราคาทองในปี 2551 กลับปรับตัวเพิ่มขึ้นกว่า 3% ซึ่งในปี 2550 ราคาทองปรับตัวเพิ่มขึ้นกว่า 20% ทั้งนี้สำหรับผลตอบแทนของราคาทองที่ผ่านมานั้นสามารถให้ผลตอบแทนที่เป็นบวกแก่นักลงทุนทั้งนั้น
"สำหรับทองคำถือเป็นเซกเตอร์ที่แยกออกมาจากตลาดหุ้นอย่างชัดเจน เช่นในภาวะที่ตลาดหุ้นกำลังย่ำแย่แต่ราคาทองคำกลับโตสวนทางกลับตลาดโดยสิ้นเชิง โดยมั่นใจว่าราคาทองคำปีนี้จะดีอย่างแน่นอน เพราะหลายฝ่ายวิเคราะห์กันว่าเศรษฐกิจในปีนี้จะยังอยู่ในช่วงชะลอตัว ดังนั้นราคาทองคำซึ่งสวนกระแสกับตลาดจะสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีให้นักลงทุนได้
สำหรับราคาทองคำในตลาดขณะนี้ ขึ้นอยู่กับค่าเงินดอลลาร์ โดยที่ราคาทองคำจะปรับตัวไปในทิศทางที่ตรงกันข้ามกับค่าเงิน ดอลลาร์สหรัฐซึ่งในปี 2551 ที่ผ่านมาราคาทองคำมีความผันผวนสูงมากตั้งแต่ต้นปีไปจนถึงปลายปี และตลอดทั้งปีให้ผลตอบแทนเพิ่มขึ้นถึง 3%
นาย กฤชรัตน์ กล่าวอีกว่า สำหรับที่หลายฝ่ายมองว่าราคาน้ำมันกับราคาทองคำจะมีทิศทางไปในทางเดียวกันนั้น ที่ผ่านมาคงจะพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าราคาน้ำมันและราคาทองคำนั้นไม่ไได้มีแนวโน้มไปในทิศทางเดียวกัน เพราะจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวลดลงไม่ได้ทำให้ราคาทองคำปรับตัวลดลงตามราคาน้ำมันด้วยเลย แต่ราคาทองคำกับเพิ่มขึ้นสวนทางกับราคาน้ำมันโดยสิ้นเชิง