ASTVผู้จัดการรายวัน - บลจ.อเบอร์ดีน เเนะระวังพันธบัตร 5-10 ปีราคาตก เหตุรัฐออกบอนด์ระดมเงินกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยใช้ผลตอบเเทนจูงใจนักลงทุน ส่งผลต่อเนื่อง หากเศรษฐกิจดีขึ้น แล้วกนง.ปรับเพิ่มดอกเบี้ย ผลตอบเเทนพันธบัตรระยะกลางอาจไม่น่าสนใจ พร้อมทั้งเตือนนักลงทุน ระวังความเสี่ยงก่อนหุ้นกู้เอกชน หลังเเบงก์พาณิชย์ไม่ปล่อยกู้
นางสาวพรสันต์ หัตถีรัตน์ หัวหน้าฝ่ายตราสารหนี้ (ประเทศไทย) บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) อเบอร์ดีน จำกัด กล่าวถึงการลงทุนตราสารหนี้ว่า หลังจากที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน หรือ กนง.ประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง เพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงที่เศรษฐกิจโลกชะชอตัวนั้น ส่งผลให้ผลตอบเเทนของตราสารหนี้ที่มีอายุสั้นปรับตัวลดลง ทำให้นักลงทุนหันมาลงทุนในตราสารหนี้ระยะกลาง ถึงระยะยาวมากขึ้น ขณะที่ผลตอบเเทนของตราสารหนี้ภาครัฐก็ปรับตัวลงตามอัตราดอกเบี้ยด้วย ซึ่งความน่าสนใจในเเง่ผลตอบเเทนก็ลดน้อยลงตามไปด้วย ทำให้หุ้นกู้เอกชนได้รับความนิยมเนื่องจากผลตอบเเทนค่อนข้างสูงกว่า โดยเรามองว่ากนง.น่าจะปรับดอกเบี้ยลงอีก 0.75-1% ซึ่งต้องจับตาดูเรื่องของเงินเฟ้อที่จะตามมาด้วย
"ตอนนี้ก็อยากให้ระวังการลงทุนพันธบัตรรัฐบาลอายุปานกลางคือ 5-10 ปี เนื่องจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลนั้น ต้องการเงินทุนมหาศาล เเน่นอนว่าการออกพันธบัตรรัฐบาลก็เป็นส่วนหนึ่งในการระดมทุนโดยผลตอบเเทนที่รัฐบาลเสนอ อาจจะค่อนข้างสูงเเละมีความน่าสนใจมากกว่า ทำให้เส้นอัตราผลตอบเเทนพันธบัตร หรือ Yield Curve ในตลาดขยับขึ้น เเต่ราคาพันธบัตรจะลดลง เช่นเดียวกันเมื่อเศรษฐกิจดีขึ้น ดอกเบี้ยก็น่าจะปรับขึ้น ส่งผลให้อัตราผลตอบเเทนของพันธบัตรระยะกลางเเละยาวอัตราผลตอบเเทนจะน้อยกว่าพันธบัตรระยะสั้น"
อย่างไรก็ตามใ นส่วนของหุ้นกู้นั้นคงต้องระมัดระวังเรื่องของความเสี่ยง เนื่องจากตอนนี้ธนาคารพาณิยช์ระวังเรื่องการปล่อยกู้ให้กับบริษัท ส่งผลให้หลายบริษัทเปลี่ยนรูปเเบบมาออกหุ้นกู้ที่ให้ผลตอบเเทนสูงนั้นเอง ซึ่งในการเลือกหุ้นกู้นั้นคงต้องดูฐานะทางการเงิน ความเเข็งเเรงของบริษัทที่จะเข้าไปลงทุนด้วย ในส่วนของบลจ.อเบอร์ดีน นั้นเราลงทุนเเบบอนุรักษ์นิยม ซึ่งจะให้ความสนใจไปที่พันธบัตรรัฐบาลมากกว่า เพราะตลาดหุ้นกู้ของประเทศไทยนั้นสภาพคล่องยังมีน้อยเมื่อเทียบกับของต่างประเทศ
ทางด้านนาย โดนัลด์ อัมสตัด ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาธุรกิจ เบอร์ดีน เเอสเส็ท เเมเนเม้นท์ เอเชีย ลิมิเต็ด มองว่า ในส่วนของพันธบัตรรัฐบาลไทยนั้น ผลตอบแทนได้ลดลงมาตามอัตราดอกเบี้ยที่ธนาคารกลางแห่งประเทศไทยปรับลดลงมา และคาดว่าทางแบงก์ชาติยังสามารถที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงมาได้อีกประมาณ 0.75-1% สำหรับแนวโน้มของหุ้นกู้ภาคเอกชนนั้น จากภาวะเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นทั่วโลกนั้นคงจะอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่ดีพักใหญ่ ขณะที่สินทรัพย์ก็มีราคาปรับลดลงอย่างมาก แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อเศรษฐกิจเริ่มมีแนวโน้มที่จะดีขึ้น ราคาสินทรัพย์จะเริ่มปรับตัวขึ้นมาก่อน ดังนั้นนักลงทุนที่ยังถือเงินสดอยู่นั้นสามารถทยอยลงทุนได้เเล้วในตอนนี้
“ราคาหุ้นกู้ภาคเอกชนบางตัวนั้น น่าสนใจมาก แม้ข้อเท็จจริงจะปรากฎว่ารายได้ของบริษัทมีแนวโน้มลดลง และ ระดับของการผิดนัดชำระหนี้เพิ่มสูงขึ้น การเทขายหลักทรัพย์โดยนักลงทุนบางกลุ่มในช่วงปี 2551 ทำให้ตลาดสินทรัพย์ที่แปลงเป็นหลักทรัพย์นั้นมีความน่าสนใจยิ่งขึ้น”
นางสาวพรสันต์ หัตถีรัตน์ หัวหน้าฝ่ายตราสารหนี้ (ประเทศไทย) บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) อเบอร์ดีน จำกัด กล่าวถึงการลงทุนตราสารหนี้ว่า หลังจากที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน หรือ กนง.ประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง เพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงที่เศรษฐกิจโลกชะชอตัวนั้น ส่งผลให้ผลตอบเเทนของตราสารหนี้ที่มีอายุสั้นปรับตัวลดลง ทำให้นักลงทุนหันมาลงทุนในตราสารหนี้ระยะกลาง ถึงระยะยาวมากขึ้น ขณะที่ผลตอบเเทนของตราสารหนี้ภาครัฐก็ปรับตัวลงตามอัตราดอกเบี้ยด้วย ซึ่งความน่าสนใจในเเง่ผลตอบเเทนก็ลดน้อยลงตามไปด้วย ทำให้หุ้นกู้เอกชนได้รับความนิยมเนื่องจากผลตอบเเทนค่อนข้างสูงกว่า โดยเรามองว่ากนง.น่าจะปรับดอกเบี้ยลงอีก 0.75-1% ซึ่งต้องจับตาดูเรื่องของเงินเฟ้อที่จะตามมาด้วย
"ตอนนี้ก็อยากให้ระวังการลงทุนพันธบัตรรัฐบาลอายุปานกลางคือ 5-10 ปี เนื่องจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลนั้น ต้องการเงินทุนมหาศาล เเน่นอนว่าการออกพันธบัตรรัฐบาลก็เป็นส่วนหนึ่งในการระดมทุนโดยผลตอบเเทนที่รัฐบาลเสนอ อาจจะค่อนข้างสูงเเละมีความน่าสนใจมากกว่า ทำให้เส้นอัตราผลตอบเเทนพันธบัตร หรือ Yield Curve ในตลาดขยับขึ้น เเต่ราคาพันธบัตรจะลดลง เช่นเดียวกันเมื่อเศรษฐกิจดีขึ้น ดอกเบี้ยก็น่าจะปรับขึ้น ส่งผลให้อัตราผลตอบเเทนของพันธบัตรระยะกลางเเละยาวอัตราผลตอบเเทนจะน้อยกว่าพันธบัตรระยะสั้น"
อย่างไรก็ตามใ นส่วนของหุ้นกู้นั้นคงต้องระมัดระวังเรื่องของความเสี่ยง เนื่องจากตอนนี้ธนาคารพาณิยช์ระวังเรื่องการปล่อยกู้ให้กับบริษัท ส่งผลให้หลายบริษัทเปลี่ยนรูปเเบบมาออกหุ้นกู้ที่ให้ผลตอบเเทนสูงนั้นเอง ซึ่งในการเลือกหุ้นกู้นั้นคงต้องดูฐานะทางการเงิน ความเเข็งเเรงของบริษัทที่จะเข้าไปลงทุนด้วย ในส่วนของบลจ.อเบอร์ดีน นั้นเราลงทุนเเบบอนุรักษ์นิยม ซึ่งจะให้ความสนใจไปที่พันธบัตรรัฐบาลมากกว่า เพราะตลาดหุ้นกู้ของประเทศไทยนั้นสภาพคล่องยังมีน้อยเมื่อเทียบกับของต่างประเทศ
ทางด้านนาย โดนัลด์ อัมสตัด ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาธุรกิจ เบอร์ดีน เเอสเส็ท เเมเนเม้นท์ เอเชีย ลิมิเต็ด มองว่า ในส่วนของพันธบัตรรัฐบาลไทยนั้น ผลตอบแทนได้ลดลงมาตามอัตราดอกเบี้ยที่ธนาคารกลางแห่งประเทศไทยปรับลดลงมา และคาดว่าทางแบงก์ชาติยังสามารถที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงมาได้อีกประมาณ 0.75-1% สำหรับแนวโน้มของหุ้นกู้ภาคเอกชนนั้น จากภาวะเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นทั่วโลกนั้นคงจะอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่ดีพักใหญ่ ขณะที่สินทรัพย์ก็มีราคาปรับลดลงอย่างมาก แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อเศรษฐกิจเริ่มมีแนวโน้มที่จะดีขึ้น ราคาสินทรัพย์จะเริ่มปรับตัวขึ้นมาก่อน ดังนั้นนักลงทุนที่ยังถือเงินสดอยู่นั้นสามารถทยอยลงทุนได้เเล้วในตอนนี้
“ราคาหุ้นกู้ภาคเอกชนบางตัวนั้น น่าสนใจมาก แม้ข้อเท็จจริงจะปรากฎว่ารายได้ของบริษัทมีแนวโน้มลดลง และ ระดับของการผิดนัดชำระหนี้เพิ่มสูงขึ้น การเทขายหลักทรัพย์โดยนักลงทุนบางกลุ่มในช่วงปี 2551 ทำให้ตลาดสินทรัพย์ที่แปลงเป็นหลักทรัพย์นั้นมีความน่าสนใจยิ่งขึ้น”