บลจ.อยุธยา เลื่อนขายกองปิดตราสารหนี้ เหตุหลายปัจจัยกระทบต่อความเชื่อมั่นนักลงทุน แถมอัตราดอกเบี้ยในประเทศลดลงต่อเนื่อง ล่าสุด พันธบัตร 3 เดือนให้ยิลด์แค่ 1.5-1.6% ส่วนบอนด์เอกชนเองยังไม่มั่นใจ ประเมินแนวโน้มดอกเบี้ยทั้งปีได้เห็น 1.25-1.5% เล็งสำรวจความต้องการลูกค้า ก่อนตัดสินใจเปิดขายกองทุน
นายอาสา อินทรวิชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สายการลงทุนตราสารหนี้ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) อยุธยา จำกัด หรือ เอวายเอฟ เปิดเผยว่า ในช่วงนี้ เอวายเอฟ ได้ชะลอแผนการเปิดขายกองทุนใหม่ โดยเฉพาะกองทุนปิดที่ลงทุนในตราสารหนี้ออกไปก่อน เนื่องจากที่ผ่านมา มีเหตุการณ์หลายอย่างที่กระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน ในขณะเดียวกันอัตราดอกเบี้ยในประเทศเองก็ปรับลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยเป็นการปรับลดลงที่ค่อนข้างรวดเร็วและแรง ล่าสุดพันธบัตรรัฐบาลอายุประมาณ 3 เดือน ก็ให้ผลตอบแทนเพียง 1.5-1.6% เท่านั้น ซึ่งเป็นผลตอบแทนที่ไม่จูงใจ ส่วนการลงทุนในตราสารหนี้ภาคเอกชน เราเองพยายามลดสัดส่วนการลงทุนในเครดิต ทั้งหุ้นกู้เอกชน สถาบันการเงิน รวมถึงภาพอุตสาหกรรมด้วย
อย่างไรก็ตาม ในส่วนของกองทุนที่ทยอยครบอายุไปนั้น เราแนะนำให้ลูกค้าลงทุนต่อกับกองทุนเดิมที่มีอยู่ ทั้งกองทุนเปิดอยุธยาตราสารเงิน และกองทุนเปิดอยุธยาตราสารเงินพลัส บางส่วนในกองทุนครบอายุ ก็จะมีการโอนเงินลงทุนเข้ามาในกองทุนเปิดอยุธยาตราสารเงินพลัสโดยอัตโนมัติด้วย ทั้งนี้ กองทุนทั้ง 2 กองดังกล่าวถือว่ายังให้ผลตอบแทนในระดับที่น่าสนใจ
"ในปีนี้ ลูกค้าส่วนใหญ่ไม่ค่อยเอาเงินออกไปมากเท่ากับปีที่ผ่านมา ส่วนหนึ่งเพราะกองทุนเหล่านี้ ยังให้ผลตอบแทนที่น่าสนใจ ในขณะที่อัตราดอกเบี้ยของแบงก์เอง ปรับลดลงด้วยแล้ว จึงทำให้นักลงทุนตอบรับกองทุนมันนี่มาร์เกตมากขึ้น"นายอาสากล่าว
ส่วนการที่บริษัทจัดการกองทุนค่ายอื่น ทยอยออกกองทุนตราสารหนี้ที่เน้นลงทุนในตราสารหนี้เอกชนนั้น นายอาสากล่าวว่า เรื่องของหุ้นกู้เอกชน ขึ้นอยู่กับมุมมองของแต่ละบริษัท ซึ่งบริษัทจัดการอื่นๆ อาจจะมั่นใจ แต่เรายังไม่มั่นใจ แต่นั้นไม่ได้หมายความว่าจะมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น เพียงแต่เป็นมุมมองของแต่ละแห่งเท่านั้น ซึ่งสาเหตุส่วนหนึ่งที่ทำให้กองทุนตราสารหนี้เอกชนได้รับความสนใจมากขึ้น เป็นผลมาจากส่วนต่างระหว่างอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น ทำให้ความน่าสนใจเพิ่มขึ้นตามไปด้วย
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เราจะพิจารณาว่าจะเป็นจังหวะที่เปิดขายกองทุนใหม่หรือไม่นั้น จะดูจากความต้องการของลูกค้าเป็นหลัก ว่าสนใจลงทุนในตราสารที่เราเสนอไปหรือไม่ ซึ่งในขณะนี้เองความต้อวการดังกล่าวยังไม่ชัดเจนมากนัก
สำหรับแนวโน้มอัตราดอกเบี้ย นายอาสากล่าวว่า สิ้นปีนี้คาดว่าอัตราดอกเบี้ยของไทยน่าจะปรับลดลงไปอยู่ที่ระดับ 1.25-1.5% จากระดับ 2% ในปัจจุบัน แต่ที่ผ่านมา มีสินค้าใหม่เข้ามาในตลาดมากขึ้น จากการทยอยออกพันธบัตรเพื่อจะเข้ามาชดเชยรายได้จากภาษีที่ลดลง รวมถึงโครงการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ (เมกะโปรเจกต์) มูลค่าประมาณ 6 แสนล้านบาทในปีงบประมาณนี้ ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยในตลาดปรับเพิ่มขึ้นบ้างในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ในอัตราประมาณ 0.80-1.00%
ปัจจุบัน กองทุนเปิดอยุธยาตราสารเงิน มีมูลค่าหน่วยลงทุนอยู่ที่ 11.3887 บาท และมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ 5,758.00 ล้านบาท ส่วนกองทุนเปิดอยุธยาตราสารเงินพลัส มีมูลค่าหน่วยลงทุน 10.3249 บาท และมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ 3,905.62 ล้านบาท
นายอาสา อินทรวิชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สายการลงทุนตราสารหนี้ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) อยุธยา จำกัด หรือ เอวายเอฟ เปิดเผยว่า ในช่วงนี้ เอวายเอฟ ได้ชะลอแผนการเปิดขายกองทุนใหม่ โดยเฉพาะกองทุนปิดที่ลงทุนในตราสารหนี้ออกไปก่อน เนื่องจากที่ผ่านมา มีเหตุการณ์หลายอย่างที่กระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน ในขณะเดียวกันอัตราดอกเบี้ยในประเทศเองก็ปรับลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยเป็นการปรับลดลงที่ค่อนข้างรวดเร็วและแรง ล่าสุดพันธบัตรรัฐบาลอายุประมาณ 3 เดือน ก็ให้ผลตอบแทนเพียง 1.5-1.6% เท่านั้น ซึ่งเป็นผลตอบแทนที่ไม่จูงใจ ส่วนการลงทุนในตราสารหนี้ภาคเอกชน เราเองพยายามลดสัดส่วนการลงทุนในเครดิต ทั้งหุ้นกู้เอกชน สถาบันการเงิน รวมถึงภาพอุตสาหกรรมด้วย
อย่างไรก็ตาม ในส่วนของกองทุนที่ทยอยครบอายุไปนั้น เราแนะนำให้ลูกค้าลงทุนต่อกับกองทุนเดิมที่มีอยู่ ทั้งกองทุนเปิดอยุธยาตราสารเงิน และกองทุนเปิดอยุธยาตราสารเงินพลัส บางส่วนในกองทุนครบอายุ ก็จะมีการโอนเงินลงทุนเข้ามาในกองทุนเปิดอยุธยาตราสารเงินพลัสโดยอัตโนมัติด้วย ทั้งนี้ กองทุนทั้ง 2 กองดังกล่าวถือว่ายังให้ผลตอบแทนในระดับที่น่าสนใจ
"ในปีนี้ ลูกค้าส่วนใหญ่ไม่ค่อยเอาเงินออกไปมากเท่ากับปีที่ผ่านมา ส่วนหนึ่งเพราะกองทุนเหล่านี้ ยังให้ผลตอบแทนที่น่าสนใจ ในขณะที่อัตราดอกเบี้ยของแบงก์เอง ปรับลดลงด้วยแล้ว จึงทำให้นักลงทุนตอบรับกองทุนมันนี่มาร์เกตมากขึ้น"นายอาสากล่าว
ส่วนการที่บริษัทจัดการกองทุนค่ายอื่น ทยอยออกกองทุนตราสารหนี้ที่เน้นลงทุนในตราสารหนี้เอกชนนั้น นายอาสากล่าวว่า เรื่องของหุ้นกู้เอกชน ขึ้นอยู่กับมุมมองของแต่ละบริษัท ซึ่งบริษัทจัดการอื่นๆ อาจจะมั่นใจ แต่เรายังไม่มั่นใจ แต่นั้นไม่ได้หมายความว่าจะมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น เพียงแต่เป็นมุมมองของแต่ละแห่งเท่านั้น ซึ่งสาเหตุส่วนหนึ่งที่ทำให้กองทุนตราสารหนี้เอกชนได้รับความสนใจมากขึ้น เป็นผลมาจากส่วนต่างระหว่างอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น ทำให้ความน่าสนใจเพิ่มขึ้นตามไปด้วย
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เราจะพิจารณาว่าจะเป็นจังหวะที่เปิดขายกองทุนใหม่หรือไม่นั้น จะดูจากความต้องการของลูกค้าเป็นหลัก ว่าสนใจลงทุนในตราสารที่เราเสนอไปหรือไม่ ซึ่งในขณะนี้เองความต้อวการดังกล่าวยังไม่ชัดเจนมากนัก
สำหรับแนวโน้มอัตราดอกเบี้ย นายอาสากล่าวว่า สิ้นปีนี้คาดว่าอัตราดอกเบี้ยของไทยน่าจะปรับลดลงไปอยู่ที่ระดับ 1.25-1.5% จากระดับ 2% ในปัจจุบัน แต่ที่ผ่านมา มีสินค้าใหม่เข้ามาในตลาดมากขึ้น จากการทยอยออกพันธบัตรเพื่อจะเข้ามาชดเชยรายได้จากภาษีที่ลดลง รวมถึงโครงการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ (เมกะโปรเจกต์) มูลค่าประมาณ 6 แสนล้านบาทในปีงบประมาณนี้ ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยในตลาดปรับเพิ่มขึ้นบ้างในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ในอัตราประมาณ 0.80-1.00%
ปัจจุบัน กองทุนเปิดอยุธยาตราสารเงิน มีมูลค่าหน่วยลงทุนอยู่ที่ 11.3887 บาท และมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ 5,758.00 ล้านบาท ส่วนกองทุนเปิดอยุธยาตราสารเงินพลัส มีมูลค่าหน่วยลงทุน 10.3249 บาท และมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ 3,905.62 ล้านบาท