xs
xsm
sm
md
lg

‘นครหลวงไทย’คงเป้าเอยูเอ็ม2หมื่นล. เล็งคลอดกองทุนคอมมอดิตี้-หุ้นเอเชียรับศก.ฟื้น

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

บลจ.นครหลวงไทย ไม่หวั่นผลผวงวิกฤต คงเป้าหมายยูเอ็มทั้งปี 20,000 ล้าบาท แม้จบไตรมาสแรก สินทรัพย์ขยายตัวต่ำกว่าเป้า ชงแผนเตรียมคลอดกองทุนเอฟไอเอฟ 2 กองทุน เน้นลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์ และหุ้นในเอเชีย โดยเฉพาะจีน คาดเปิดขายไอพีโอได้ในเดือนหน้า ด้านกองทุนออสซี่-กีวี เล็งแก้โครงการเป็นทาร์เกตฟันด์ หลังผลตอบแทนยังกู่ไม่กลับ
นายธีรพันธุ์ จิตตาลาน
นายธีรพันธุ์ จิตตาลาน กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) นครหลวงไทย จำกัด เปิดเผยว่า มูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการ (เอยูเอ็ม) ของบริษัทในช่วงไตรมาสแรกของปี 2552 ปรับขึ้นมาอยู่ที่ 41,000 ล้านบาท จากสิ้นปีที่แล้วที่มีอยู่ 37,000 ล้านบาท โดยปรับขึ้นมาประมาณ 4,000 ล้านบาท ซึ่งนับว่าต่ำกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ โดยสัดส่วนของสินทรัพย์ประมาณ 30-40% มาจากการกองทุนที่มีรอบระยะเวลาการลงทุนที่แน่นอน (โรลโอเวอร์) ส่วนที่เหลือมาจากกองทุนพันธบัตรรัฐบาลของประเทศเกาหลีใต้ และกองทุนประเภทอื่นๆ

อย่างไรก็ตาม บริษัทยังไม่มีแนวคิดปรับลดเป้าหมายการเพิ่มมูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการของปีนี้ที่ 20,000 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตราการเติบโตไตรมาสละ 5,000 ล้านบาทแต่อย่างใด โดยในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ บริษัทต้องการสร้างความพร้อม ปรับปรุงประสิทธิภาพ เพื่อให้สามารถเดินหน้าไปสู่เป้าหมายสินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการที่วางไว้ 100,000 ล้านบาทภายใน 3 ปีให้ได้

ขณะเดียวกัน บริษัทเตรียมเปิดขายกองทุนที่เน้นลงทุนในต่างประเทศ (เอฟไอเอฟ) โดยจะเน้นลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์ (คอมมอดิตี้) และหุ้น โดยคาดว่าจะสามารถเปิดเสนอขายหน่วยลงทุนครั้งแรก (ไอพีโอ) ของกองทุนที่เน้นลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์ได้ประมาณเดือนพฤษภาคม 2552 ขณะที่กองทุนที่เน้นลงทุนในหุ้นจะสามารถเปิดเสนอขายได้ในเดือนมิถุนายน 2552

สำหรับหุ้นที่บริษัทให้ความสนใจอยู่ในภูมิภาคเอเชีย โดยเฉพาะประเทศจีน ซึ่งสาเหตุหลักที่หุ้นของจีนได้ถูกขายออกมา เกิดจากวิกฤติสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ด้อยคุณภาพในสหรัฐอเมริกา (ซับไพรม์) ส่งผลให้นักลงทุนต้องการขายหุ้น และนำเงินกลับไปยังประเทศของตนเอง ทำให้ราคาปรับลดลงมามาก แต่ปัจจัยพื้นฐานของหุ้นยังดีอยู่

นายธีรพันธุ์ กล่าวว่า ในช่วงที่ผ่านมาการที่ดัชนีหุ้นในตลาดโลกกลับมาบวกโดยเฉลี่ย 27% ทำให้นักลงทุนเริ่มมีความมั่นใจมากขึ้น ขณะที่การลงทุนในสินทรัพย์อื่นสามารถให้อัตราดอกเบี้ยที่ค่อนข้างต่ำ ส่งผลให้นักลงทุนแห่กันมาลงทุนในหุ้นแทน จากการที่ดัชนีหุ้นปรับลงมามาก แต่ก็ยังมีนักลงทุนจำนวนหนึ่งที่ยังติดหุ้นด้วย อย่างไรก็ตาม หากภาวะเศรษฐกิจกลับมาดีอีกครั้ง หุ้นจะกลับมาก่อน ส่วนสินค้าโภคภัณฑ์ก็จะกลับมาดีอีกครั้งเช่นกัน อย่างไรก็ตาม มองว่าดัชนีหุ้นอยู่ในระดับที่ต่ำแล้ว คาดว่าภายในไตรมาส 3 หุ้นจะปรับขึ้นไปพอดี

ส่วนกองทุนที่มีการลงทุนแบบมีเป้าหมาย (ทาร์เก็ต ฟันด์) บริษัทจะทำในแง่แก้ไขกองทุนที่เน้นลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ที่มีปัญหาในด้านผลตอบแทนที่ติดลบอยู่ โดยจะมีการเสนอต่อลูกค้าว่าจะต่ออายุกองทุนดังกล่าวออกไป และไปลงทุนในพันธบัตรของทั้งสองประเทศ แต่จะมีการกำหนดเป้าหมายผลตอบแทนที่แน่นอนเอาไว้ เมื่อถึงเป้าหมายจะมีการปิดกองทุนดังกล่าวทันที

ทั้งนี้ ที่ผ่านมา ผลตอบแทนของกองทุนดังกล่าวเคยปรับลดลงไปถึง 20% และในปัจจุบันกลับมาเหลือติดลบเพียง 10% เท่านั้น โดยได้มีการเตรียมการเอาไว้แล้ว ซึ่งกองทุนในซีรี่ส์ดังกล่าวจะเริ่มครบกำหนดอายุประมาณเดือนกรกฎาคม 2552 สำหรับทางเลือกจะแบ่งออกเป็น 3 แนวทางด้วยกัน ได้แก่ ต่ออายุกองทุนออกไปประมาณ 1 ปีแล้วลงทุนแบบมีเป้าหมาย หรือเลือกลงทุนในกองทุนสินค้าโภคภัณฑ์และกองทุนหุ้นที่มีการตั้งกองทุนไว้ หรือหากไม่ต้องการลงทุนต่อก็สามารถนำเงินลงทุนออกไปได้

นอกจากนี้ บริษัทได้มีการนำพอร์ตลงทุนของบริษัทในเครือมาบริหารแล้ว ซึ่งเริ่มต้นมาตั้งแต่ต้นปีนี้ และในปัจจุบันมีมูลค่าสินทรัพย์ประมาณ 2,500-3,000 ล้านบาท ส่วนการนำบทวิเคราะห์และบทวิจัยของบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) นครหลวงไทย จำกัด ได้มีการเริ่มใช้ข้อมูลดังกล่าว เพื่อใช้ในการตัดสินใจลงทุน และยังมีการใช้ข้อมูลจากต่างประเทศ และบริษัทหลักทรัพย์อื่นๆ ด้วยเช่นกัน ขณะที่การแยกฝ่ายการตลาด (มาร์เก็ตติ้ง) และฝ่ายขาย (เซลล์) ออกจากกันอย่างชัดเจน โดยนำเอาบุคลากรเดิมที่มีมาใช้ให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด หากมีปัญหาในส่วนไหนก็ต้องแก้ปัญหาในส่วนนั้น ดังนั้น หากต้องการเติบโตต้องเร่งทำทุกอย่างให้มีประสิทธิภาพ
กำลังโหลดความคิดเห็น