ASTVผู้จัดการรายวัน - บลจ.พรีมาเวสท์ ชงแผนออก 12 กองทุน ดันสินทรัพย์ทั้งปีโต 60% หรือเพิ่มขึ้นเป็น 1.8 หมื่นล้านบาท ประเดิมกองทุนหุ้นกู้เอกชน ทั้งในและนอกประเทศ มั่นใจหนีความเสี่ยงได้ เน้นวิเคราะห์ความแข็งแกร่งและฐานะทางการเงินของผู้ออกเป็นหลัก คาดเปิดขายกองทุนแรกได้เดือนมีนาคมนี้
นางสาวศรีเนตร ฤทธิรงค์ ประธานเจ้าหน้าที่สายงานการตลาด บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม (บลจ.) พรีมาเวสท์ จำกัด เปิดเผยว่า ในปีนี้บริษัทตั้งเป้าขยายสินทรัพย์ภายใต้การบริหารสำหรับธุรกิจกองทุนรวมเพิ่มขึ้นประมาณ 60% หรือคิดเป็นจำนวนเงินที่เพิ่มขึ่้น 6,000 ล้านบาท จากสินทรัพย์รวมประมาณ 1.1 หมื่นล้านบาทในปีที่ผ่านมา ซึ่งหากเป็นไปตามเป้า จะทำให้สินทรัพย์ทั้งปีนี้ขยบัขึ้นไปอยู่ที่ 1.8 หมื่นล้านบาท ล่าสุด ณ เดือนมกราคม 2552 สินทรัพย์ของบริษัทเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 1.3 หมื่นล้านหรือเติบโตขึ้น 2% แล้ว โดยเงินที่ไหลเข้ามาดังกล่าว มาจากกองทุนทุกประเภท ซึ่งรวมถึงกองทุนเปิดกรุงศรี-พรีมาเวสท์ มันนี่ (KPM) ที่ขยายตัวค่อนข้างมาก เนื่องจากนักลงทุนยังเห็นว่าให้ผลตอบแทนที่ดี ล่าสุด กองทุนมีสินทรัพย์เพิ่มขึ้นเป็น 2,261.13 ล้านบาท จากปลายปีที่มีเงินลงทุนเพียง 1,240.28 ล้านบาท
ทั้งนี้ จากเป้าหมายการเติบโตดังกล่าว เราได้วางแผนออกกองทุนเดือนละ 1 กอง ทุน ทำให้ปีนี้ทั้งนี้จะมีกองทุนใหม่รวมทั้งหมด 12 กองทุน โดยจะมีทั้งกองทุนตราสารหนี้ ที่ลงทุนทั้งในพันธบัตรรัฐบาล หุ้นกู้เอกชนในประเทศและต่างประเทศ รวมถึงกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ (พร็อพเพอร์ตี้ฟันด์) และกองทุนต่างประเทศที่จะลงทุนในดัชนีอีทีเอฟของสินค้าโภคภัณฑ์ประเภทใดประเภทหนึ่ง ส่วนกองทุนหุ้นในประเทศที่เรามีอยู่แล้ว ก็อาจจะนำกลับมาปัดฝุ่นทำการตลาดอีกครั้ง หลังจากที่ผ่านมา ดัชนีหุ้นปรับลดลงค่อนข้างมาก โดยเฉพาะกองทุนเปิดพรีมาเวสท์เฟล็กซิเบิ้ลฟันด์ (PFL) ที่ยังได้ประโยชน์จากเงินปันผลในหุ้นที่กองทุนเข้าไปลงทุน ซึ่งหุ้นที่มีการปันผลสม่ำเสมอ และราคาต่ำกว่าความเป็นจริง ถือว่าน่าสนใจในภาวะที่ตลาดหุ้นยังผันผวนอยู่เช่นนี้
สำหรับบรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้น นางสาวศรีเนตรกล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยยังมีความเสี่ยงที่ดัชนีจะปรับลดลงต่ำกว่า 400 จุด โดยเฉพาะหากเศรษฐกิจสหรัฐยังมีความเสี่ยงที่จะถดถอยต่อไปอีก โอกาสที่เงินลงทุนจะถูกถอนออกไปจากตลาดหุ้นไทยก็มีความเป็นไปได้อีก ซึ่งหุ้นที่จะได้รับผลกระทบอันดับแรกคือหุ้นกลุ่มพลังงานและกลุ่มธนาคารพาณิชย์ ทั้งนี้ มองว่าหากดัชนีปรับลดลงไปที่ระดับ 350 จุด น่าจะเป็นจังหวะที่จะเข้าไปลงทุนได้
อย่างไรก็ตาม ในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา บริษัทยังไม่มีการออกกองทุนใหม่แต่อย่างใด ดังนั้น หลังจากนี้อาจจะต้องเพิ่มความถี่ในการออกกองทุนมากขึ้น โดยในช่วงเดือนมีนาคมนี้ คาดว่าน่าจะสามารถเปิดขายกองทุนได้เป็นกองทุนแรก ซึ่งกองทุนดังกล่าวจะเน้นลงทุนในหุ้นกู้เอกชนคุณภาพดีในประเทศ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการยื่นให้สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) พิจารณา โดยมีมูลค่าโครงการประมาณ 800 ล้านบาท
นางสาวศรีเนตรกล่าวว่า ปัจจุบันหุ้นกู้เอกชนมีส่วนต่างระหว่างอัตราดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาล (สเปรด) ค่อนข้างสูง โดยหุ้นกู้อายุ 3-6 เดือนมีสเปรดอยู่ประมาณ 1.00% ซึ่งการลงทุนในหุ้นกู้ของพรีมาเวสท์เอง จะให้ความสำคัญกับการคัดเลือกผู้ออกตราสารเป็นหลัก ซึ่งผู้จัดการกองทุนจะต้องเข้าใจว่าบริษัทนั้นๆ มีความเสี่ยงมากน้อยแค่ไหน ฐานะทางการเงินเป็นยังไง โดยจะพิจารณา 4 ปัจจัยด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นโครงสร้างทางการเงินของผู้ออก ทั้งกระแสเงินสด อัตราหนี้สินต่อทุน รวมถึงโครงสร้างทางธุรกิจ ว่ามีความเชี่ยวชาญในธุรกิจนั้นๆ มากน้อยแค่ไหน ขณะเดียวกัน จะพิจารณาถึงโครงสร้างผู้ถือหุ้นและวิเคราะห์ว่ามีความสามารถในการแข่งขันในอุตสาหกรรมนั้นได้หรือไม่
ส่วนอันดับเครดิตเรตติ้งนั้น ในเบื้องต้นจะพิจารณาลงทุนในหุ้นกู้ที่มีอันดับเครดิตตั้งแต่ A ขึ้นไป แต่เราจะให้ความสำคัญกับการวิเคราะห์ตัวบริษัทมากกว่า หากเห็นว่าบริษัทผู้ออกมีฐานะทางการเงินแข็งแกร่ง เราก็จะลงทุน แต่อย่างไรก็ตาม เราจะพิจารณาลงทุนตามหลักเกณฑ์ของการจัดตั้งกองทุนด้วย
ทั้งนี้ นอกจากหุ้นกู้ในประเทศแล้ว บริษัทยังสนใจลงทุนในหุ้นกู้ต่างประเทศด้วย โดยรูปแบบการลงทุนในต่างประเทศเอง จะเป็นกองทุนประเภทเครดิตลิงก์โน้ต (CLN) โดยตราสารหนี้ที่จะออกไปลงทุนนั้น ขณะนี้มีการศึกษาอยู่ทั่วโลก แต่จะเน้นลงทุนในหุ้นกู้ของบริษัทที่มีชื่อเสียงและนักลงทุนไทยรู้จักเป็นหลัก ซึ่งการที่เราเลือกออกกองทุนประเภทเครดิตลิงก์โน้ตนั้น เนื่องจากมองว่าเป็นการเปิดโอกาสให้นักลงทุนที่สนใจลงทุนในหุ้นกู้ต่างประเทศ แต่มีข้อจำกัด ไม่ว่าจะเป็นการถือครองที่ยาวเกินไป หรือหาตลาดขายออกลำบาก และอาจจะต้องใช้เงินในการซื้อค่อนข้างมาก
อย่างไรก็ตาม การลงทุนประเภทเครดิตลิงก์โน้ต มีความเสี่ยงจากธนาคารพาณิชย์ต่างประเทศซึ่งเป็นผู้ออกตราสารพอสมควร เนื่องจากวิกฤตการเงินที่เกิดขึ้นทั่วโลก ส่งผลถึงความมั่นใจที่มีต่อธนาคารพาณิชย์ค่อนข้างมาก ดังนั้น ก่อนตัดสินใจลงทุน เราจะต้องพิจารณาธนาคารพาณิชย์ซึ่งเป็นผู้ออกตราสารดังกล่าวให้มั่นใจก่อน โดยเฉพาะฐานะทางการเงิน การกันสำรอง รวมถึงอันดับเครดิตเรตติ้งด้วย
สำหรับกองทุนดังกล่าว กำลังอยู่ในขั้นตอนยื่นขอจัดตั้งกองทุนกับสำนักงาน ก.ล.ต. โดยในเบื้องต้นคาดว่าจะสามารถเปิดขายได้เป็นกองทุนที่สองถัดจากกองทุนหุ้นกู้ในประเทศ ในส่วนของผลตอบแทนนั้น จากการสำรวจตลาด ลูกค้าส่วนใหญ่คาดหวังผลตอบแทนประมาณ 2.5% ขึ้นไป ซึ่งเป็นผลตอบแทนก่อนการปรับดอกเบี้ยลง 0.5%
นางสาวศรีเนตรกล่าวว่า ในส่วนของกองทุนตราสารหนี้ในประเทศ โดยเฉพาะกองทุนที่ลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล ก็ยังมีแผนที่จะเปิดขายอย่างต่อเนื่อง เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้า และรองรับเงินลงทุนในส่วนของกองทุนที่ครบอายุ ขณะเดียวกัน เพื่อรักษาฐานลูกค้าเงินฝากแบงก์เอาไว้ด้วย
นางสาวศรีเนตร ฤทธิรงค์ ประธานเจ้าหน้าที่สายงานการตลาด บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม (บลจ.) พรีมาเวสท์ จำกัด เปิดเผยว่า ในปีนี้บริษัทตั้งเป้าขยายสินทรัพย์ภายใต้การบริหารสำหรับธุรกิจกองทุนรวมเพิ่มขึ้นประมาณ 60% หรือคิดเป็นจำนวนเงินที่เพิ่มขึ่้น 6,000 ล้านบาท จากสินทรัพย์รวมประมาณ 1.1 หมื่นล้านบาทในปีที่ผ่านมา ซึ่งหากเป็นไปตามเป้า จะทำให้สินทรัพย์ทั้งปีนี้ขยบัขึ้นไปอยู่ที่ 1.8 หมื่นล้านบาท ล่าสุด ณ เดือนมกราคม 2552 สินทรัพย์ของบริษัทเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 1.3 หมื่นล้านหรือเติบโตขึ้น 2% แล้ว โดยเงินที่ไหลเข้ามาดังกล่าว มาจากกองทุนทุกประเภท ซึ่งรวมถึงกองทุนเปิดกรุงศรี-พรีมาเวสท์ มันนี่ (KPM) ที่ขยายตัวค่อนข้างมาก เนื่องจากนักลงทุนยังเห็นว่าให้ผลตอบแทนที่ดี ล่าสุด กองทุนมีสินทรัพย์เพิ่มขึ้นเป็น 2,261.13 ล้านบาท จากปลายปีที่มีเงินลงทุนเพียง 1,240.28 ล้านบาท
ทั้งนี้ จากเป้าหมายการเติบโตดังกล่าว เราได้วางแผนออกกองทุนเดือนละ 1 กอง ทุน ทำให้ปีนี้ทั้งนี้จะมีกองทุนใหม่รวมทั้งหมด 12 กองทุน โดยจะมีทั้งกองทุนตราสารหนี้ ที่ลงทุนทั้งในพันธบัตรรัฐบาล หุ้นกู้เอกชนในประเทศและต่างประเทศ รวมถึงกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ (พร็อพเพอร์ตี้ฟันด์) และกองทุนต่างประเทศที่จะลงทุนในดัชนีอีทีเอฟของสินค้าโภคภัณฑ์ประเภทใดประเภทหนึ่ง ส่วนกองทุนหุ้นในประเทศที่เรามีอยู่แล้ว ก็อาจจะนำกลับมาปัดฝุ่นทำการตลาดอีกครั้ง หลังจากที่ผ่านมา ดัชนีหุ้นปรับลดลงค่อนข้างมาก โดยเฉพาะกองทุนเปิดพรีมาเวสท์เฟล็กซิเบิ้ลฟันด์ (PFL) ที่ยังได้ประโยชน์จากเงินปันผลในหุ้นที่กองทุนเข้าไปลงทุน ซึ่งหุ้นที่มีการปันผลสม่ำเสมอ และราคาต่ำกว่าความเป็นจริง ถือว่าน่าสนใจในภาวะที่ตลาดหุ้นยังผันผวนอยู่เช่นนี้
สำหรับบรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้น นางสาวศรีเนตรกล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยยังมีความเสี่ยงที่ดัชนีจะปรับลดลงต่ำกว่า 400 จุด โดยเฉพาะหากเศรษฐกิจสหรัฐยังมีความเสี่ยงที่จะถดถอยต่อไปอีก โอกาสที่เงินลงทุนจะถูกถอนออกไปจากตลาดหุ้นไทยก็มีความเป็นไปได้อีก ซึ่งหุ้นที่จะได้รับผลกระทบอันดับแรกคือหุ้นกลุ่มพลังงานและกลุ่มธนาคารพาณิชย์ ทั้งนี้ มองว่าหากดัชนีปรับลดลงไปที่ระดับ 350 จุด น่าจะเป็นจังหวะที่จะเข้าไปลงทุนได้
อย่างไรก็ตาม ในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา บริษัทยังไม่มีการออกกองทุนใหม่แต่อย่างใด ดังนั้น หลังจากนี้อาจจะต้องเพิ่มความถี่ในการออกกองทุนมากขึ้น โดยในช่วงเดือนมีนาคมนี้ คาดว่าน่าจะสามารถเปิดขายกองทุนได้เป็นกองทุนแรก ซึ่งกองทุนดังกล่าวจะเน้นลงทุนในหุ้นกู้เอกชนคุณภาพดีในประเทศ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการยื่นให้สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) พิจารณา โดยมีมูลค่าโครงการประมาณ 800 ล้านบาท
นางสาวศรีเนตรกล่าวว่า ปัจจุบันหุ้นกู้เอกชนมีส่วนต่างระหว่างอัตราดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาล (สเปรด) ค่อนข้างสูง โดยหุ้นกู้อายุ 3-6 เดือนมีสเปรดอยู่ประมาณ 1.00% ซึ่งการลงทุนในหุ้นกู้ของพรีมาเวสท์เอง จะให้ความสำคัญกับการคัดเลือกผู้ออกตราสารเป็นหลัก ซึ่งผู้จัดการกองทุนจะต้องเข้าใจว่าบริษัทนั้นๆ มีความเสี่ยงมากน้อยแค่ไหน ฐานะทางการเงินเป็นยังไง โดยจะพิจารณา 4 ปัจจัยด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นโครงสร้างทางการเงินของผู้ออก ทั้งกระแสเงินสด อัตราหนี้สินต่อทุน รวมถึงโครงสร้างทางธุรกิจ ว่ามีความเชี่ยวชาญในธุรกิจนั้นๆ มากน้อยแค่ไหน ขณะเดียวกัน จะพิจารณาถึงโครงสร้างผู้ถือหุ้นและวิเคราะห์ว่ามีความสามารถในการแข่งขันในอุตสาหกรรมนั้นได้หรือไม่
ส่วนอันดับเครดิตเรตติ้งนั้น ในเบื้องต้นจะพิจารณาลงทุนในหุ้นกู้ที่มีอันดับเครดิตตั้งแต่ A ขึ้นไป แต่เราจะให้ความสำคัญกับการวิเคราะห์ตัวบริษัทมากกว่า หากเห็นว่าบริษัทผู้ออกมีฐานะทางการเงินแข็งแกร่ง เราก็จะลงทุน แต่อย่างไรก็ตาม เราจะพิจารณาลงทุนตามหลักเกณฑ์ของการจัดตั้งกองทุนด้วย
ทั้งนี้ นอกจากหุ้นกู้ในประเทศแล้ว บริษัทยังสนใจลงทุนในหุ้นกู้ต่างประเทศด้วย โดยรูปแบบการลงทุนในต่างประเทศเอง จะเป็นกองทุนประเภทเครดิตลิงก์โน้ต (CLN) โดยตราสารหนี้ที่จะออกไปลงทุนนั้น ขณะนี้มีการศึกษาอยู่ทั่วโลก แต่จะเน้นลงทุนในหุ้นกู้ของบริษัทที่มีชื่อเสียงและนักลงทุนไทยรู้จักเป็นหลัก ซึ่งการที่เราเลือกออกกองทุนประเภทเครดิตลิงก์โน้ตนั้น เนื่องจากมองว่าเป็นการเปิดโอกาสให้นักลงทุนที่สนใจลงทุนในหุ้นกู้ต่างประเทศ แต่มีข้อจำกัด ไม่ว่าจะเป็นการถือครองที่ยาวเกินไป หรือหาตลาดขายออกลำบาก และอาจจะต้องใช้เงินในการซื้อค่อนข้างมาก
อย่างไรก็ตาม การลงทุนประเภทเครดิตลิงก์โน้ต มีความเสี่ยงจากธนาคารพาณิชย์ต่างประเทศซึ่งเป็นผู้ออกตราสารพอสมควร เนื่องจากวิกฤตการเงินที่เกิดขึ้นทั่วโลก ส่งผลถึงความมั่นใจที่มีต่อธนาคารพาณิชย์ค่อนข้างมาก ดังนั้น ก่อนตัดสินใจลงทุน เราจะต้องพิจารณาธนาคารพาณิชย์ซึ่งเป็นผู้ออกตราสารดังกล่าวให้มั่นใจก่อน โดยเฉพาะฐานะทางการเงิน การกันสำรอง รวมถึงอันดับเครดิตเรตติ้งด้วย
สำหรับกองทุนดังกล่าว กำลังอยู่ในขั้นตอนยื่นขอจัดตั้งกองทุนกับสำนักงาน ก.ล.ต. โดยในเบื้องต้นคาดว่าจะสามารถเปิดขายได้เป็นกองทุนที่สองถัดจากกองทุนหุ้นกู้ในประเทศ ในส่วนของผลตอบแทนนั้น จากการสำรวจตลาด ลูกค้าส่วนใหญ่คาดหวังผลตอบแทนประมาณ 2.5% ขึ้นไป ซึ่งเป็นผลตอบแทนก่อนการปรับดอกเบี้ยลง 0.5%
นางสาวศรีเนตรกล่าวว่า ในส่วนของกองทุนตราสารหนี้ในประเทศ โดยเฉพาะกองทุนที่ลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล ก็ยังมีแผนที่จะเปิดขายอย่างต่อเนื่อง เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้า และรองรับเงินลงทุนในส่วนของกองทุนที่ครบอายุ ขณะเดียวกัน เพื่อรักษาฐานลูกค้าเงินฝากแบงก์เอาไว้ด้วย